บทที่ 484 ทหารกรรมกรค่ายเทียนจี
ทหารชาวบ้านที่ติดตามกองทัพมีความสำคัญอย่างมาก นอกเหนือจากการขนส่งเสบียงแล้ว การสร้างค่ายชั่วคราว ขุดคูน้ำเพื่อปกป้องค่าย ดักทหารม้าศัตรูในหุบเขา หรือกระทั่งจุดไฟทำอาหาร เรื่องพวกนี้ล้วนขาดทหารชาวบ้านไปไม่ได้
ในมุมมองของแม่ทัพรถม้าศึก ตราบใดที่เป็นบุรุษ ต่อให้จะชราภาพพิกลพิการก็มีคุณสมบัติเป็นทหารชาวบ้านได้ แล้วทำไมต้อง ‘ผ่านการฝึกฝนยกระดับ’ ทั้งยังมีชื่อเรียกตลก ๆ ว่า ‘ทหารกรรมกร’ ด้วย ฉินเฟิงมักจะมีความคิดแปลก ๆ ที่ทำให้ผู้คนสับสนได้เสมอจริง ๆ
แต่ในเมื่อพาคนมาแล้ว แม่ทัพรถม้าศึกย่อมไม่ปฏิเสธ ใช้พวกเขาเหมือนทหารชาวบ้านธรรมดาก็พอแล้ว
ภายใต้การนำของแม่ทัพรถม้าศึก หน่วยขนส่งเสบียงเป่ยซีก็ค่อย ๆ เข้าสู่ตัวอำเภอ
คืนนั้นหลู่หมิงระดมทหารกรรมกรสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการป้องกันให้อำเภอหย่งโซ่วอย่างไม่รั้งช้าแม้แต่อึดใจเดียว
ช่วงเวลาเดียวกัน หลี่เซียวหลานนำทหารราบสองพันนายที่ร่วมเดินทางมา ตั้งค่ายพักอยู่นอกอำเภอหย่งโซ่ว เป็นแนวป้องกันสุดท้ายในการปกป้องตัวอำเภอ
ยามนี้แม่ทัพรถม้าศึกยืนอยู่ที่ประตูเมือง มองดูฉากวุ่นวายด้านนอก อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “การสร้างแนวป้องกันเมืองเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน แต่ก็ต้องดูเวลาด้วย ตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าควรเก็บงำกำลังทหารทั้งหมดไว้ภายในอำเภอ คอยคุ้มกันรักษาเมืองไว้มากกว่า”
“ตอนนี้กองทัพเป่ยตี๋กำลังรุกเข้ามาในแคว้น ย่อมปล่อยหน่วยสอดแนมจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามาสอดส่องเป็นแน่ การสร้างแนวป้องกันเมืองในอำเภอหย่งโซ่วจะไปถึงหูของแม่ทัพศัตรูในไม่ช้า จากนั้นพวกเขาก็จะส่งกองทัพใหญ่เข้าโจมตีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การกระทำนี้มีแต่จะเพิ่มแรงกดดันด้านการป้องกันให้กับกองทัพเราเท่านั้น”
“ช่างเถิด รับของคนอื่นมือไม้อ่อน กินของคนอื่นปากอ่อน อำเภอเป่ยซีส่งเสบียงมาสนับสนุนเรามากมายจึงเข้าไปสอดมือไม่ได้ง่าย ๆ ถ่ายทอดคำสั่งข้า ไม่ต้องสนใจทหารที่อยู่นอกเมือง บอกให้กองทหารของเราเตรียมรับมือกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ป้องกันเมืองด้วยชีวิตก็พอ!”
รองแม่ทัพประสานหมัดตอบ ไม่ได้คาดหวังอะไรกับทหารนอกเมือง เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านแม่ทัพไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันแล้ว ถือโอกาสตอนสถานการณ์ยังสงบในคืนนี้กลับไปพักหน่อยเถิดขอรับ”
แม้ว่าแม่ทัพรถม้าศึกจะกังวลเล็กน้อย เนื่องจากกลัวการโจมตีตอนกลางคืนจากเป่ยตี๋ ทว่าเมื่อมองดูทหารกรรมกรที่ยุ่งอยู่นอกเมือง เขาก็รู้สึกว่าไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อย่างน้อยก็คงมีการเตือนภัยล่วงหน้า
เมื่อคิดถึงจุดนี้ แม่ทัพรถม้าศึกก็ไม่ลังเล กลับไปพักผ่อนในเรือนของศาลาว่าการ
…
ณ ดินแดนเป่ยตี๋ ภูเขาหยางฉาง
หนิงหู่กับทหารค่ายเทียนจีทั้งสองร้อยหกสิบสามคน นอนหมอบอยู่ในป่าบนภูเขา ถือคันธนูและลูกธนูในมือแน่น จ้องมองแสงไฟริบหรี่ไกล ๆ ด้วยดวงตาเหนื่อยล้าแต่ยังแฝงไปด้วยความมุ่งมั่น
หัวหน้าหน่วยสองที่อยู่ข้าง ๆ ไม่ได้กินข้าวมาสี่วันแล้ว ทำได้เพียงดื่มน้ำค้างเล็กน้อย ดูจากสภาพ จะว่าเป็นคนก็ไม่เหมือนคน จะว่าเป็นผีก็ไม่เหมือนผี ไม่จำเป็นต้องจงใจลดเสียงให้เบา เพราะเสียงที่เปล่งออกมาอ่อนแรงจนเบามากพอแล้ว
“หนิงเชียนฮู่ หน่วยสอดแนมรายงานว่ามีกองกำลังศัตรูนับพันล้อมพวกเราอยู่ ภูเขาหยางฉางถูกล้อมรอบเหมือนถังเหล็ก ทันทีที่เกิดการปะทะ เกรงว่า…”
ก่อนหัวหน้าหน่วยสองจะพูดจบ หนิงหู่ก็ขัดจังหวะอย่างเย็นชา “ก็แค่ตายไม่ใช่หรือ มีอะไรต้องกลัวเล่า? ก่อนจะเข้ามาในแนวหลังของศัตรู พวกเราล้วนเตรียมใจไว้แล้ว หรือว่าเจ้าเกิดกลัวขึ้นมา?”
เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่เย็นชาและเคร่งขรึมของหนิงหู่ หัวหน้าหน่วยสองไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย เขาโต้เถียงด้วยเหตุผล “กลัวรึ?! การห่อศพด้วยหนังม้าถือเป็นชะตากรรมที่ดีที่สุดของทหาร สามารถตอบแทนบุญคุณของนายน้อยฉินด้วยชีวิตได้ถือเป็นเกียรติของข้า!”
“ข้าแค่กังวลว่าถ้าต้องมาตายที่นี่จะไม่สามารถทำลายค่ายศัตรูได้อีก!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาเย็นชาดุร้ายของหนิงหู่ก็ฉายแววโล่งใจ เขาหันกลับไปมองทหารที่อยู่รอบ ๆ ไม่มีใครแสดงท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย
หนิงหู่เต็มไปด้วยความภาคภูมิ การได้ตายร่วมกับเพื่อนพี่น้องที่ดีเช่นนี้ ถือว่าไม่เสียเปล่าที่ได้เกิดมา!


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ