บทที่ 487 มุ่งหน้าเข้าสู่ดินแดนศัตรู
ครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้องครักษ์เสื้อแพรนำข่าวกลับมาถึงอำเภอเป่ยซี เมื่อรู้ว่าหนิงหู่ปลอดภัยดีฉินเฟิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เมื่อรู้ว่ามีทหารค่ายเทียนจีพลีชีพไปถึงแปดสิบคน หัวใจของเขาก็บีบแน่น
ทหารค่ายเทียนจีคือกลุ่มคนที่ฉินเฟิงฝึกมาเองกับมือ ทุกคนสนิทสนมกันเหมือนพี่น้อง
อาจกล่าวได้ว่า อำเภอเป่ยซีมีความเจริญรุ่งเรืองเช่นทุกวันนี้ ทหารค่ายเทียนจีมีส่วนช่วยอย่างมาก
ยามนี้หนิงหู่กับทหารค่ายเทียนจีสองร้อยยี่สิบคนติดอยู่ในดินแดนของศัตรู ฉินเฟิงก็อยากจะติดปีกบินไปพาพวกเขาทุกคนกลับมาให้ได้เสียตอนนี้
ฉินเฟิงรู้ดี ไม่ว่าอย่างไรหลินฉวีฉีกับหลี่จางก็จะต้องหยุดเขา
นายน้อยเจ้าสำราญสูดหายใจเข้าลึก สงบสติอารมณ์ มองดูทั้งสองคน แล้วพูดอย่างจริงจัง “หากพวกเจ้าติดอยู่ในแคว้นของศัตรู ข้าก็จะไปช่วยเหลือพวกเจ้าอย่างไม่ลังเล เพราะพวกเจ้าทุกคนคือเพื่อนพี่น้อง”
“ถ้าเจ้ายืนกรานจะให้เหตุผลโดยไม่ใช้อารมณ์ก็ไม่เป็นปัญหา”
“เหตุผลที่อำเภอเป่ยซีของเราแตกต่างจากอำเภออื่น เป็นเพราะเราให้ความสำคัญกับชีวิตคน อย่าว่าแต่ทหารค่ายเทียนจี ต่อให้เป็นคนธรรมดา ตราบใดที่พวกเขาเป็นคนในอำเภอเป่ยซีของข้า แม้จะต้องฝ่าภูเขาดาบทะเลเพลิงก็ต้องช่วยคนกลับมาให้ได้”
“ในอนาคตอันใกล้เมื่อสงครามแคว้นสิ้นสุดลง ยามทั้งสองแคว้นเจรจากัน ทหารค่ายเทียนจีที่ติดอยู่ในเป่ยตี๋จะกลายเป็นเบี้ยในการต่อรอง ฮ่องเต้สามารถเพิกเฉยต่อพวกเขาได้ ถึงตอนนั้นพวกเราในอำเภอเป่ยซีจะจัดการอย่างไร?”
ความตั้งใจของฉินเฟิงนั้นหนักแน่นอย่างมาก ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์หรือเหตุผลทั้งส่วนรวมและส่วนตัว เขาก็จะต้องไปพาหนิงหู่และคนอื่น ๆ กลับมาให้ได้
หลินฉวีฉีไม่ได้คิดมากมายขนาดนั้น เหตุผลที่เขาห้ามไม่ให้ฉินเฟิงออกจากอำเภอเป่ยซี เพราะเขากังวลในเรื่องความปลอดภัย
หลี่จางคิดถึงจิตใจของผู้คน แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากสิ้นสุดสงครามแคว้น
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความคิดของฉินเฟิงสมเหตุสมผล
แต่ในฐานะนายน้อยแห่งอำเภอเป่ยซี การให้ฉินเฟิงเดินทางไปยังดินแดนของศัตรูด้วยตนเองไม่ใช่เรื่องที่หลี่จางจะยอมรับได้
“พี่ฉิน ตอนนี้ทหารค่ายเทียนจีกับองครักษ์เสื้อแพรรวมตัวกันแล้ว พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่ง แม้พวกเขาจะพึ่งพาเพียงกำลังของตัวเองก็สามารถกลับมาได้ เราถอยกันคนละก้าวเถอะ แม้จะต้องไปช่วยเหลือในตอนนี้ก็ควรระดมกำลังพลจากแนวหน้า หากผู้บัญชาการพาตัวเองไปตกอยู่ในอันตราย ย่อมไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ดีอย่างแน่นอน”
ฉินเฟิงไม่สงสัยถึงความมีเหตุผลในคำพูดของหลี่จาง
แต่หากการระดมกำลังทหารในแนวหน้าเป็นเรื่องง่าย ฉินเฟิงย่อมไม่ออกไปเสี่ยงครั้งใหญ่เช่นนี้
นายน้อยหนุ่มถอนหายใจ “แม้ตอนนี้กองทัพของเราจะเป็นฝ่ายรุกและโจมตีกองทัพเป่ยตี๋จากสามทิศทาง แต่ก็ยังต้องเผชิญกับการรบภาคสนาม แนวหน้ามีความกดดันมากแค่ไหนพวกเจ้าก็รู้ ตอนนี้สามารถโยกย้ายทหารม้าทมิฬหรือทหารราบได้รึ? หรือว่าจะย้ายทหารม้าเกราะเบา? ไม่ว่าจะเป็นหน่วยไหนที่ถูกโยกย้าย แนวหน้าจะเสี่ยงต่อการพ่ายแพ้”
“ส่วนเหตุผลที่ข้าต้องไปช่วยเหลือตอนนี้ ก็เพราะกังวลว่าหากเรารอต่อไป หนิงหู่และคนอื่น ๆ จะกลายเป็นเชลยของเป่ยตี๋”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่จางพลันขมวดคิ้ว “เชลย? เป่ยตี๋จะสิ้นเปลืองความพยายามไปกับการจับกุมคนสองร้อยคนจริง ๆ หรือ?”
ดวงตาของฉินเฟิงแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง “ถ้าข้าเป็นเฉินซือ ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้ทหารยอดฝีมือของศัตรูออกจากแคว้นไปได้! ตั้งแต่วันแรกของสงคราม เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด หากเป่ยตี๋พ่ายแพ้ ทหารค่ายเทียนจีจะเป็นตัวต่อรองที่ดีที่สุดในการข่มขู่อำเภอเป่ยซี และเราก็จะถูกเป่ยตี๋ควบคุมจนต้องหันไปข่มขู่ฮ่องเต้ กลายเป็นคนบาปชั่วนิรันดร์ของต้าเหลียง”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าการตายของจงหลิงมีผลกระทบต่อแนวหน้าของเป่ยตี๋มากเพียงใด?”
เมื่อเอ่ยถึงจงหลิง หลี่จางกับหลินฉวีฉีพลันเงียบไป
จงหลิงเป็นเพียงนายพลหยาเจี้ยงตัวเล็ก ๆ แต่ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับขวัญกำลังใจแนวหน้าของเป่ยตี๋
เป็นเรื่องจริงที่ทหารค่ายเทียนจีเหลือเพียงสองร้อยยี่สิบนาย แต่ทหารมากกว่าสองร้อยนายเหล่านี้ได้แสดงความสามารถพิเศษครั้งแล้วครั้งเล่า มีตำแหน่งที่ไม่มีใครเทียบได้ในอำเภอเป่ยซี ทันทีที่ทหารค่ายเทียนจีพลีชีพในสนามรบหรือกลายเป็นเชลยของเป่ยตี๋ ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้คนในอำเภอเป่ยซีอย่างยากที่จะจินตนาการ!
หลินฉวีฉีกับหลี่จางมองหน้ากัน ลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในที่สุดก็หลีกทางให้
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ