บทที่ 492 ติดปีกก็ยากจะบินหนี
ขอบตาของทหารค่ายเทียนจีเป็นสีแดงเรื่อ พวกเขาต่างรู้สึกว่าตนเองทำให้ฉินเฟิงต้องลำบาก หากไม่ใช่เพราะตนเองไร้สามารถจนติดอยู่ในดินแดนเป่ยตี๋ ไหนเลยฉินเฟิงจะต้องเสี่ยงชีวิตมาช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว
ในฐานะลูกน้อง พวกเขาควรแก้ไขปัญหาของเจ้านาย มิใช่กลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง
คำพูดของหนิงหู่แสดงถึงความในใจของเหล่าทหารอย่างไม่ต้องสงสัย
ชั่วขณะนี้เอง เสียงเย็นชาของฉินเฟิงก็ดังขึ้น มันไม่ใช่เสียงตะโกนลั่น แต่ก็ทะลุผ่านแก้วหูของทุกคนในที่แห่งนั้นอย่างชัดเจน
“ข้าไม่มีทางมองพี่น้องของข้าตายในต่างแคว้น! อย่าว่าแต่ในเป่ยตี๋ ต่อให้เป็นภูเขาดาบทะเลเพลิงข้าก็จะพาพวกเจ้ากลับบ้านให้ได้!”
ทันทีที่สิ้นประโยค ฉากที่มีเสียงดังระงมเมื่อครู่ก็เงียบลงทันที
เหล่าทหารมองฉินเฟิงด้วยสายตาร้อนแรงเป็นอย่างยิ่ง
ใครในใต้หล้าไม่รู้จักคำว่า ‘เป็นพี่น้องกัน’ บ้าง? แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถทำอย่างที่ฉินเฟิงทำได้? สำหรับทหารทุกคน ฉินเฟิงไม่เพียงแต่เป็นผู้มีพระคุณที่มองเห็นคุณค่าของพวกเขา เป็นนายน้อยที่สนับสนุนพวกเขา และเป็นผู้มอบชีวิตใหม่ให้ มาตอนนี้เขายังเป็นสหายที่พร้อมบุกภูเขาดาบทะเลเพลิงอย่างไม่บ่ายเบี่ยงอีกด้วย
เหล่าทหารค่ายเทียนจีต่างก็น้ำตาคลอเบ้า แอบสาบานในใจว่าชีวิตของพวกเขาเป็นของฉินเฟิงแล้ว ในเมื่อฉินเฟิงสามารถบุกน้ำลุยไฟเพื่อทุกคนอย่างกล้าหาญ ทุกคนย่อมบุกน้ำลุยไฟเพื่อนายน้อยฉินอย่างไม่บ่ายเบี่ยงเช่นกัน
ขณะที่อารมณ์พลุ่งพล่านค่อย ๆ ทุเลาลง ฉินเฟิงก็ไม่ชักช้าลีลา แววตาเผยความจริงจังที่หาได้ยาก
“เรามีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในการออกจากดินแดนของศัตรูและกลับแคว้นต้าเหลียง หากไม่สามารถผ่านแนวป้องกันของศัตรูได้ภายในสองชั่วยาม คิดจะกลับไปเกรงว่าจะยากยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์! ทุกคนจงทิ้งสิ่งของที่ไม่สำคัญทั้งหมด พกไปแค่ของที่จำเป็น เตรียมตัวออกเดินทางทันที!”
ทหารทุกคนตระหนักดีว่าสถานการณ์โดยรวมร้ายแรงมากจึงไม่มัวลังเล ต่อให้พวกเขาจะอยากพูดความในใจมากแค่ไหนก็ต้องรอจนกว่าจะถอนกำลังกลับไปถึงอำเภอเป่ยซีได้อย่างปลอดภัยก่อนค่อยว่ากัน
สิ่งของที่องครักษ์เสื้อแพรนำมาล้วนเป็นเสบียงอาหาร ลูกธนูและสายธนู สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเอาออกไปได้ อีกทั้งก็ไม่คุ้มที่จะเปลืองกำลังขนย้าย พวกเขาจึงขุดหลุมตรงนั้นสองสามหลุมแล้วฝังมันลงไปอย่างเร่งรีบ
ฉินเฟิงมีทหารม้ามากกว่าหนึ่งร้อยหกสิบคนเหลืออยู่ แต่ละคนมีม้าสำรองสองตัว ดังนั้นจึงมีม้ากว่าสามร้อยตัว อีกฝั่งมีทหารค่ายเทียนจีสองร้อยยี่สิบคน ประกอบกับม้าที่องครักษ์เสื้อแพรใช้เพื่อขนเสบียง รวม ๆ สามร้อยตัวก็นับว่าเพียงพอแล้ว
เวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ทุกคนก็เตรียมพร้อมตามคำสั่งของฉินเฟิง แล้วคนทั้งหมดสี่ร้อยห้าสิบคนก็พากันมุ่งหน้ากลับต้าเหลียง
เนื่องจากร่องรอยถูกเปิดเผย เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับกองทหารม้าของศัตรูที่ลาดตระเวนบริเวณชายแดน ฉินเฟิงจึงไม่ได้เลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุด แล้วตรงไปยังอำเภอเป่ยซีโดยตรง แต่ใช้เส้นทางที่คดเคี้ยวออกไปทางทิศตะวันออก
กองทัพเป่ยตี๋ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ทางอำเภอเป่ยซีและกองทหารชายแดน การป้องกันทางทิศตะวันออกจึงอ่อนแอกว่าจุดอื่น ๆ
ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจไปทางตะวันออกมากเกินไปได้
พรมแดนระหว่างต้าเหลียงและเป่ยตี๋ไม่ได้ทอดยาว นับอำเภอเป่ยซีกับเมืองชายแดนเป็นศูนย์กลาง พรมแดนจะกินพื้นที่ไปทางทิศตะวันออกห้าร้อยลี้และทางทิศตะวันตกหนึ่งพันสามร้อยลี้
ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากทั้งสองแคว้นขัดแย้งกันมานานหลายปี แคว้นใกล้เคียงจึงตึงเครียดมาโดยตลอดและกินอาณาเขตตามแนวชายแดนไปนับไม่ถ้วน หากเข้าใกล้แคว้นอื่นอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี ถ้าดวงดีก็เพียงแค่ถูกขับออกไป แต่ถ้าดวงซวยย่อมเกิดเหตุตีรันฟันแทง
ฉินเฟิงนำกองทหารควบอาชาไปยี่สิบลี้ ชะลอความเร็วของม้า แล้ววิ่งออกไปอีกห้าสิบลี้ เนื่องจากขาดม้าสำรอง สัตว์พาหนะจึงอ่อนกำลังลง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ม้าเหนื่อยตายเสียก่อน ฉินเฟิงจำต้องสั่งให้หยุดพักผ่อนครู่หนึ่ง
แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะพักนานเกินไป เพียงเวลาหนึ่งก้านธูปขบวนก็ออกเดินทางอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้วิ่งทะยานแล้ว ทำได้เพียงควบคุมทิศทางของม้า ปล่อยให้มันเดินไปทางใต้ช้า ๆ


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ