บทที่ 508 ยอดอัจฉริยะ
นกฮูกราตรีเป็นดั่งเขี้ยวเล็บของฮ่องเต้เป่ยตี๋ ในเวลาเช่นนี้จึงลงมืออย่างไร้ความปรานีและเด็ดขาดเป็นธรรมดา
เมื่อเห็นว่าทหารที่มาขอความช่วยเหลือถูกสังหารทั้งหมด เฉินผิงดูเหมือนจะตัดสินใจได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก “ช่างเถิด!”
ค่ายทหารกลางซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่เกินห้าลี้ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ทหารค้นหาและปราบปรามกองกำลังศัตรู บ้างหลบหนี บ้างรวมกลุ่มกันคนหลายร้อยคนส่งเสียงร้องคร่ำครวญอย่างขวัญหนีดีฝ่อ ราวกับว่าพวกเขาเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าหวาดหวั่น
ทหารที่ดูแลคลังอาวุธหายตัวไปนานแล้ว เดิมทีสวี่เชียนต้องการออกมาจัดระเบียบกองทัพ
แต่เมื่อเห็นความโกลาหลนอกค่ายก็คิดว่ากองทหารศัตรูออกมาเต็มจำนวน มีกำลังมหาศาล เกรงว่าศัตรูจะใช้กลยุทธ์จับโจรเอาหัวโจกจึงซ่อนตัวอยู่ในกระโจมไม่กล้าปรากฏกาย
รอบ ๆ กระโจม มีทหารหลายร้อยนายคอยปกป้อง แม้จะกล่าวว่าปกป้อง แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาก็แค่กอดคอกันอยู่ตรงนั้นเพื่อบรรเทาความกลัว
ในหัวใจของทหารเหล่านี้ รู้แค่ว่ากองทัพเป่ยตี๋โจมตีดินแดนผู้อื่น ไหนเลยจะมีใครเคยบุกรุกโจมตีเป่ยตี๋ได้เช่นนี้?
พวกเขาเป็นทหารรักษาการณ์มาตลอดชีวิต ได้ยินเพียงว่าแนวหน้าโหดร้ายน่าเศร้าแค่ไหน กองทัพเป่ยตี๋กล้าหาญเพียงใด แต่ตนเองไม่เคยเห็นเลือดด้วยซ้ำ
ตอนนี้เมื่อได้เผชิญสนามรบที่มีโลหิตไหลนองและไฟสงครามแผดเผาด้วยตนเองแล้ว ถึงได้ประจักษ์ในความโหดร้ายของสมรภูมิ พวกเขากังวลใจจนร่างกายสั่นไหว หัวใจเต้นรัว
ในตอนแรก มีทหารพร้อมที่จะสร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ พุ่งเข้าต่อสู้กับศัตรูจนตาย
แต่เมื่อมองดูสหายร่วมรบที่วิ่งวุ่นอลหม่าน ความคิดที่จะสร้างผลงานก็ดับมอดลงไปกว่าครึ่ง
ประกอบกับเสียงร้องคร่ำครวญที่ดังมาอย่างต่อเนื่อง ความทะเยอทะยานจึงค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัว
สร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มารดามันเถิด รักษาชีวิตต่างหากเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!
ยังไงซะทุกคนคงไม่ต้องโทษเหมือนกันหมด ถ้าฟ้าถล่มลงมา ย่อมมีคนยศสูงกว่าแบกรับไว้ ถล่มมาไม่ถึงตัวทหารเล็ก ๆ อย่างพวกเขาแน่
ในค่ายกองทัพกลางมีคลังอาวุธสามแห่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอำเภอต่าง ๆ ในมณฑล
เวลานี้คลังอาวุธสองแห่งถูกไฟโหมกระหน่ำกลืนกิน
หนิงหู่นำทหารค่ายเทียนจีสิบนายที่ปลอมตัวเป็นกองทหารค้นหาและปราบปรามศัตรูวิ่งฝ่าความวุ่นวายไปที่คลังอาวุธแห่งสุดท้ายอย่างโจ่งแจ้ง ตลอดทางพวกเขาพบกับกองทหารค้นหาและปราบปรามศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วน รวมถึงนายกองที่เลื่อนขั้นชั่วคราวอีกหลายคน
แต่ไม่มีใครสนใจหนิงหู่แม้แต่คนเดียว
ในตอนแรก ฉินเฟิงออกคำสั่งให้ทำให้สวี่เชียนหวาดกลัว ไม่ต้องเข้าปะทะจริง ๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วกองกำลังศัตรูก็มีจำนวนคนมากเกินไป เขาไม่กลัวหนึ่งหมื่น แต่กลัวหนึ่งในหมื่น*[1]
หนิงหู่ยังปฏิบัติตามคำสั่งของฉินเฟิงอย่างเคร่งครัด ใช้ประโยชน์จากความมืดยามวิกาลปลิดชีพทหารลาดตระเวนยามดึก เปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดเกราะของอีกฝ่ายแล้วย่องเข้าไปในตำแหน่งที่ห่างจากค่ายศัตรูไม่ถึงยี่สิบก้าว ก่อนจะยิงธนูหลายสิบลูกเข้าไปในค่าย
มีทหารหกนายถูกยิงตาย
เดิมทีคิดว่าอีกฝ่ายคงจะพุ่งตัวออกมาสู้อย่างบ้าคลั่ง แต่ผลลัพธ์เหนือไปจากความคาดหมายของหนิงหู่
กองทหารค้นหาและปราบปรามศัตรูที่ค้นพบหนิงหู่ ไม่เพียงแต่ไม่แสดงเจตนาที่จะสู้รบเท่านั้น แต่ยังหันหลังกลับแล้ววิ่งหนีพลางตะโกนลั่นว่า
“ศัตรูบุกมาแล้ว!”
กองทหารศัตรูบุกเข้ามาหรือ? หากได้ยินคำพูดนี้อย่างกะทันหันกลางดึก แม้แต่ฉินเฟิงก็คงรู้สึกตึงเครียดและรีบเรียกรวมกองกำลังมารับมือกับศัตรูอย่างรอบคอบ
ทว่าทหารรักษาการณ์ผู้ไร้ความสามารถที่อยู่ตรงหน้ากลับตื่นตระหนกในทันที คนหนึ่งวิ่งหนี สองคนวิ่งหนี และทั้งค่ายก็อยู่ในความสับสนวุ่นวาย
ฉากที่เห็นนี้ แม้แต่หนิงหู่ก็ตกตะลึงเป็นเวลานาน
เขาเคยเห็นคนขี้ขลาด แต่เขาไม่เคยเห็นคนขี้ขลาดเช่นนี้มาก่อน ใครจะคิดว่าภายใต้การคุ้มครองของกองทัพที่เกรียงไกรของเป่ยตี๋ ทหารในดินแดนจะตาขาวเช่นนี้!



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ