เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ นิยาย บท 524

บทที่ 524 ทุกแนวรบตกอยู่ในอันตราย ทันทีที่หลี่หลางพยายามยืนให้มั่นคง ทหารศัตรูอีกสองคนก็พุ่งเข้ามา คนหนึ่งถือตะบองเขี้ยวหมาป่าอยู่ในมือ อีกคนหนึ่งถือแหลน ยิ่งไปกว่านั้น เกราะของสองคนนี้ยังหนากว่าทหารศัตรูคนอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด จัดว่าเป็นทหารราบหุ้มเกราะหนัก เนื่องจากทั้งตะบองเขี้ยวหมาป่าและแหลนมีความสามารถในการทำลายเกราะที่แข็งแกร่ง หลี่หลางจึงไม่กล้าใช้ร่างต้านทานการโจมตีของตะบองเขี้ยวหมาป่าที่ฟาดมาทางตนเอง เขาทำได้แค่พยายามหลบเท่านั้น หลังจากหลบตะบองเขี้ยวหมาป่าได้ในที่สุด หลี่หลางที่กำลังจะหยิบขวานด้ามยาวขึ้นมาต่อสู้กลับก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ต้นขาซึ่งถูกแหลนแทงทะลุ เลือดสด ๆ ทำให้เกราะตรงขาอาบย้อมไปด้วยสีแดงทันที ยิ่งไปกว่านั้น ศัตรูยังมีประสบการณ์อย่างมาก หลังจากแทงหลี่หลางได้ก็ไม่ดึงแหลนกลับทันที แต่ใช้แรงแหวกเนื้อไปด้านข้าง หลี่หลางเสียสมดุล ล้มลงกระแทกพื้น เขาเหวี่ยงขวานด้ามยาวออกไปโดยแทบไม่รู้ตัวเพื่อต้านทานตะบองเขี้ยวหมาป่าที่กำลังพุ่งเข้ามา จากนั้นจึงเหวี่ยงขวานใส่ศัตรูที่ถือแหลน น่าเสียดายที่ขวานด้ามยาวสั้นกว่าแหลนเกือบหนึ่งฉื่อ การโจมตีของหลี่หลางจึงไม่สามารถเข้าถึงตัวคู่ต่อสู้ได้เลย ศัตรูที่ถูกบังคับให้ถอยวางตะบองเขี้ยวหมาป่าของเขาลงแล้วช่วยสหายร่วมรบลากแหลนด้ามนั้น ทำให้หลี่หลางกลิ้งไปมาบนพื้นจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ ในเวลาเดียวกัน ศัตรูอีกคนก็รีบพุ่งเข้ามาพร้อมแหลนในมือ แหลนนั้นเล็งไปที่หน้าอกของหลี่หลางอย่างมาดมั่น แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามทั้งสามจะเป็นเพียง ‘ทหารชั้นผู้น้อย’ ธรรมดา ๆ แต่ก็สวมชุดเกราะหนักและถืออาวุธยาว ประกอบกับความเข้าขากันเป็นอย่างดีจึงสามารถตรึงหลี่หลางที่กล้าหาญเหนือคนให้อยู่บนพื้นและทุบตีได้ บนสนามรบ ตราบใดที่อยู่ในการต่อสู้ระยะประชิด ทุกคนก็เหมือนมดตัวจ้อย ภายใต้คมดาบที่ชุลมุน พวกเขาพร้อมที่จะตายเมื่อใดก็ได้ ถ้าหลี่หลางไม่กลิ้งไปบนพื้นจนแหลนพลาดเป้า แทงเข้าที่ไหล่ ตอนนี้หลี่หลางก็คงตายไปแล้ว การโจมตีของศัตรูไม่โดนจุดสำคัญ เขาจึงดึงแหลนกลับไปหมายจะแทงมาอีกครั้ง ในตอนนี้เอง ลูกธนูก็พุ่งเข้ามาปักที่หน้าผากของชายคนนั้นอย่างพอดิบพอดี อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ส่งเสียงกรีดร้อง ทหารราบเป่ยซีก็พุ่งมาจากด้านข้าง แทงเข้าที่ท้องของคู่ต่อสู้ ศัตรูสองคนที่ลากหลี่หลางไปกับพื้น ถูกทหารราบเป่ยซีที่โจนทะยานเข้ามาฟันจนเสียชีวิตคาที่ “ท่านแม่ทัพ!” ทหารราบรีบวิ่งเข้ามา เขาตวัดดาบตัดแหลนบนต้นขาของหลี่หลาง เนื่องจากการฉีกทึ้งที่รุนแรง บาดแผลจึงฉีกขาดอย่างหนัก เลือดสีแดงฉานไหลออกมาไม่หยุด ใบหน้าของหลี่หลางซีดขาว ด้วยความช่วยเหลือจากทหารราบ เขาลุกขึ้นยืนอย่างเข้มแข็งโดยไม่สนใจขาขวาที่เลือดไหลเจิ่ง จ้องไปทางศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าราวกับว่ารู้ชะตากรรมของตนเองแล้ว แววตาเขามุ่งมั่นมากกว่าเดิม “พี่น้องทั้งหลาย เราไม่มีทางถอยแล้ว ถ้าตกไปอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูย่อมต้องทนทรมานต่อความเจ็บปวดอย่างอยู่ไม่สู้ตายจากการสอบปากคำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” “ก่อนที่เราจะตาย ฆ่าให้ได้อีกสักคนเถอะ!” “ลูกผู้ชายต้าเหลียงอย่างข้า แม้ว่าตัวตายก็จะทำให้คนป่าเถื่อนเป่ยตี๋หวาดกลัว!” หลี่หลางจับคอของทหารราบด้วยมือซ้าย ถือขวานด้ามยาวไว้ในมือขวา ทิ้งน้ำหนักยืนด้วยขาซ้ายข้างเดียว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เตรียมพร้อมที่จะมุ่งหน้าสู่ความตาย เมื่อคำสั่งดังขึ้น ทหารราบจำนวนหนึ่งร้อยนายก็รวมตัวกัน โจมตีศัตรูที่เหมือนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่เบื้องหน้าพวกเขาอีกครั้ง “ฆ่า!” เสียงคำรามดังก้องไปทั่วท้องฟ้า หลี่หลางที่ต่อสู้อย่างหนัก ค่อย ๆ กลืนหายไปท่ามกลางวงล้อมที่หนาแน่นของศัตรู ในเวลาเดียวกัน สงครามบนภูเขาชิงอวี้ก็ลุกลามมาสามวันเต็มแล้ว! ในวันนั้นมีทหารมากกว่าสามสิบนายที่ก่อกบฏ สวี่เชียนประหารชีวิตพวกเขาทันทีและแต่งตั้งทหารที่มีฝีมือห้าร้อยนายให้จัดตั้งผู้คุมทัพ บังคับให้กองกำลังที่เหลือเปิดการโจมตีบนยอดเขาอีกครั้ง เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ สวี่เชียนไม่กล้าหยุด เพราะข่าวดีถูกส่งกลับไปยังเมืองหลวงแล้ว เขาไม่อาจแบกรับความผิดฐานหลอกลวงเบื้องบนได้ ในตอนนี้เขาทำได้เพียงทำลายล้างทหารค่ายเทียนจีโดยไม่สนว่าต้องแลกด้วยอะไร ด้วยวิธีนี้ถึงจะพอมีหนทางรอด ส่วนผู้เสียชีวิตจากกองทัพค้นหาและปราบปราม แค่สวี่เชียนเอ่ยปากก็สามารถปกปิดมันได้แล้ว กองทัพค้นหาและปราบปรามรู้ว่าไม่ว่าจะบุกหรือถอยก็ต้องตาย การตายด้วยน้ำมือของคนของตัวเองน่าอึดอัดเกินไป เช่นนั้นไม่สู้ลองเสี่ยงดู หากสามารถฆ่าทหารค่ายเทียนจีได้ก็จะได้เลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น เพราะเหตุนี้เอง กองทัพค้นหาและปราบปรามจึงเปิดฉากการบุกที่แทบจะเรียกได้ว่าบ้าคลั่งบนยอดเขา แม้ว่าผู้บาดเจ็บล้มตายจะมากมายหรืออัตราการสูญเสียของการสู้รบจะแตกต่างกันอย่างน่าใจหาย แต่การบุกโจมตีก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลง เนื่องจากกองทัพค้นหาและปราบปรามมีข้อได้เปรียบเชิงจำนวน พวกเขาผลัดกันขึ้นบุกโจมตี ทำให้ทหารของฉินเฟิงเหนื่อยล้าจากการสู้รบที่ดุเดือดเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน ตอนนี้ทหารทุกนายเกือบทนไม่ไหว แม้แต่ฉินเฟิงเองก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว ทั้งร่างโงนเงนจนอาจล้มลงได้ทุกเมื่อ ก้อนหินและคานไม้ที่เก็บไว้บนภูเขาถูกใช้จนหมด ลูกธนูก็ถูกใช้ไปในจำนวนที่มากจนน่าตกใจ เหลือลูกธนูเพียงไม่ถึงสามพันลูกเท่านั้น สิ่งที่ทำให้ฉินเฟิงเจ็บปวดมากที่สุดคือการบาดเจ็บล้มตายของเหล่าทหาร มีผู้เสียชีวิตมากกว่าสี่สิบคน บาดเจ็บมากกว่าหกสิบคน! แม้ว่าความสูญเสียของศัตรูจะมากกว่า ประเมินได้คร่าว ๆ ว่ามีคนถูกก้อนหินและคานไม้กระแทกตาย รวมถึงถูกลูกศรและแหลนม้าแทงตายไม่ต่ำกว่าสามพันคนก็ตาม ข้อดีของภูมิประเทศและพลังการต่อสู้นั้นขยายออกไปอย่างไม่สิ้นสุด แต่ไม่ว่าจะได้เปรียบมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถชดเชยความต่างของจำนวนกำลังพลได้ หากการต่อสู้ดำเนินต่อไป ฉินเฟิงและทหารของเขาจะถูกกำจัดจนสิ้นซากภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วยาม “อดทนไว้ หนิงเชียนฮู่ หนิงหู่! เจ้าไปตายที่ไหนแล้ว? เอาถังน้ำมันมาเร็ว ๆ!” ไม่นานหลังจากนั้น หนิงหู่ที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลที่มีเลือดอาบย้อมก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา โดยมีทหารแปดนายอยู่ข้างหลังแบกถังน้ำมันมาสองถัง ป้อมปราการหมายเลขหนึ่งสูญเสียหารป้องกัน ป้อมปราการหมายเลขสองและสามก็ตกอยู่ในอันตราย ฉินเฟิงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “ละทิ้งแนวป้องกันที่สอง ทุกคนถอยกลับไปบนยอดเขา!” หลังจากที่ทหารหลายสิบนายปีนกลับขึ้นไปบนยอดเขา ฉินเฟิงก็ออกคำสั่งให้เทน้ำมันลงไปทันที หลังจากน้ำมันสองถังเทลงไปบนเนินเขา ฉินเฟิงก็ขว้างคบเพลิงออกไป เพลิงไฟโหมกระหน่ำปกคลุมไหล่เขาทางทิศใต้ทันที พวกทหารที่ถอยออกไปไม่ทันกลายเป็นมนุษย์ไฟ ร้องโหยหวนอย่างทรมาน ผสมปนเปกันเป็นกลุ่มก้อนราวกับนรกบนดิน เมื่อมองดูฉากที่เป็นดั่งโศกนาฏกรรมตรงหน้า ฉินเฟิงกลับจ้องมองด้วยความโกรธ การต่อสู้ที่ยาวนานและสิ้นหวังนี้ทำให้หัวใจของฉินเฟิงสงบลงราวกับเหล็กที่เย็นเยียบ เขาไม่รู้สึกถึงความสงสารใด ๆ อีกต่อไป! เดิมทีถังน้ำมันทั้งสองนี้ถูกเก็บไว้เพื่อจัดการกับทหารโล่ แต่สถานการณ์การต่อสู้เป็นเรื่องเร่งด่วน ฉินเฟิงทำได้แค่ทุบหม้อข้าวจมเรือ เผามันให้วอดวายทุกอย่าง ในที่สุดไฟที่โหมกระหน่ำก็ขับไล่การรุกอย่างดุเดือดของศัตรูกลับไป เมื่อมองดูกองทหารศัตรูถอยทัพไปที่ไหล่เขา ฉินเฟิงกลับไม่ผ่อนคลายลงเลยแม้แต่น้อย หากการโจมตีระลอกต่อไปเกิดขึ้นและต้องเผชิญหน้ากับทหารโล่ เขาก็จะไม่สามารถหยุดการก้าวล้ำของศัตรูได้อีกต่อไป องครักษ์เสื้อแพรที่ฉินเฟิงเดิมพันทุกอย่างไว้ยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขาถูกขัดขวางหรือถูกศัตรูค้นพบและโดนกวาดล้างไปแล้วหรือไม่ ฉินเฟิงไม่ใช่คนที่ชอบปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามยถากรรม แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เสียงหัวเราะอันผ่อนคลายบนยอดเขาในอดีตหายไป ทหารทุกนายเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ นั่งลงบนพื้นอย่างเฉยชา บ้างนั่งเหม่อโดยถือแหลนเอาไว้ บ้างนอนราบกับพื้นหลับไปโดยไม่ได้ยินสิ่งใดอีก ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังนี้ แม้แต่ขวัญกำลังใจของทหารค่ายเทียนจีก็ยังถึงขีดจำกัดแล้ว ฉินเฟิงหมุนตัวอย่างเงียบเชียบกลับไปที่หอสังเกตการณ์ เขานั่งยอง ๆ อยู่บนพื้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย ลับปลายหอกของตนให้แหลม เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งสุดท้าย นายน้อยเจ้าสำราญที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรากินแต่อาหารเลิศรสในอดีตได้หายไปนานแล้ว แต่ถูกแทนที่ด้วยแม่ทัพเลือดเย็นที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าฆ่าศัตรูไปแล้วกี่คน…

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ