บทที่ 535 กองทัพถอนกำลัง
ดวงตาของฉินเฟิงไม่กะพริบแม้แต่นิด ด้วยความที่หอกยาวเกินไป ไม่เหมาะแก่การต่อสู้ระยะประชิด ฉินเฟิงจึงตัดสินใจวางมันลงแล้วพุ่งตัวไปข้างหน้า อาศัยน้ำหนักตัวและเกราะที่สวมใส่กดทับทหารฝ่ายศัตรูเอาไว้แล้วกำหมัดชกใบหน้าของทหารศัตรูซ้ำ ๆ จนเลือดพุ่ง ฉินเฟิงคล้ายกับถูกปลุกสัญชาตญาณความเป็นนักสู้ออกมา เขากระหน่ำกำปั้นใส่ฝ่ายตรงข้ามไม่ยั้ง
จนกระทั่งหนิงหู่ดึงฉินเฟิงขึ้นมา เขาจึงสังเกตเห็นว่าใบหน้าของทหารฝ่ายศัตรูถูกเขาต่อยจนยุบและสิ้นใจไปแล้ว
ฉินเฟิงดึงง้าวที่ปักอยู่ที่หน้าอกออก ปลายง้าวที่ยาวเท่ากับนิ้วชี้เปื้อนเลือดของเขาอยู่
หากไม่ได้สวมเกราะหนักไว้ ง้าวเล่มนี้คงพุ่งทะลุหน้าอกของฉินเฟิงไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อเผชิญกับง้าวที่สามารถเจาะเกราะได้ เกราะหนักก็จะไม่สามารถปกป้องฉินเฟิงได้อีกต่อไป
บาดแผลมีเลือดไหลไม่หยุด แต่ฉินเฟิงกลับไม่สนใจ เขาหยิบง้าวขึ้นมาแล้วฟันลงไปที่กระหม่อมของทหารฝ่ายศัตรูอย่างแรง ผลคือเพราะใช้แรงมากเกินไป ง้าวจึงติดอยู่ที่ศีรษะของอีกฝ่ายจนดึงไม่ออก
ฉินเฟิงผลักทหารฝ่ายศัตรูพร้อมกับดึงง้าวออกมา เขาหยิบโล่ที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นฟาดลงไปที่ใบหน้าของทหารฝ่ายศัตรู จากนั้นก็หันกลับไปฟาดลงที่ไหล่ของทหารฝ่ายศัตรูอีกคน
ตั้งแต่สมัยโบราณ โล่มิใช่เพียงเครื่องป้องกันเท่านั้น พลังการโจมตีของโล่เทียบเท่ากับอาวุธไร้คมได้เลยทีเดียว
ขณะที่ฉินเฟิงกำลังต่อสู้จนตัวเปื้อนเลือดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงดังสนั่นมาจากใต้ฝ่าเท้า
โครม!
ประตูเมืองพังแล้ว!
ท่าไม่ดีแล้ว!
ฉินเฟิงฟาดโล่ไปพร้อมกับต้านทานทหารศัตรูที่ไหลบ่ามาบนกำแพงเมือง จากนั้นก็ตะโกนบอกหนิงหู่ว่า “เร็ว! รีบไปช่วยที่ประตูเมือง!”
หนิงหู่เองก็ได้ยินเสียงประตูเมืองถล่มจึงรีบพาองครักษ์สิบคนเตรียมพุ่งเข้าไปช่วยเหลือ
เหนือประตูเมืองที่พวกทหารต่อสู้มีหลุมสี่เหลี่ยมจัตุรัสอยู่ หนิงหู่ผลักถังขนาดใหญ่ที่วางอยู่ข้างหลุมให้คว่ำลง เมื่อน้ำมันไหลทะลักออกมาจึงโยนคบเพลิงลงไป จากนั้นไฟก็ลุกโชนขึ้นในฉับพลัน เปลวไฟร้อนแรงพวยพุ่งขึ้นมาตามหลุม
หนิงหู่รีบพาองครักษ์ออกจากประตูเมือง โชคดีที่ประตูเมืองสร้างด้วยหิน มิเช่นนั้นแม้เปลวไฟที่ลุกโชนจะคร่าชีวิตศัตรูไปนับพันแต่ก็คงต้องสูญเสียคนของตนเองไปแปดร้อยอย่างแน่นอน
เนื่องจากหนิงหู่และคนของเขาโยนท่อนไม้ที่ถูกไฟไหม้ลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มเชื้อเพลิงให้กับกองไฟ ไฟจึงลุกโชนนานถึงครึ่งชั่วยามกว่าจะดับลงได้
ประตูเมืองทั้งบานร้อนระอุราวกับเตาเผา กองทัพศัตรูบุกเข้าไปทางเข้าประตูเมืองอย่างไม่กลัวตาย แต่ก็ถูกทหารแคว้นต้าเหลียงยิงธนูและแทงด้วยหอกยาวขัดขวาง การต่อสู้แย่งชิงประตูเมืองจึงรุนแรงและนองเลือดมากขึ้น เมื่ออุณหภูมิของประตูลดลง ทหารฝ่ายศัตรูก็เหยียบย่ำศพเพื่อนร่วมรบและบุกต่อ หนิงหู่จึงรีบนำทหารองครักษ์กลับไปที่ประตูเมืองและโยนก้อนหินหรือแทงด้วยหอกยาวลงมาจากช่องด้านบน
เมื่อต้องเผชิญกับการต่อต้านจากทั้งด้านบนและด้านหน้า กองทัพศัตรูก็บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่พวกเขาไม่ยอมละทิ้งการแย่งชิงประตูเมือง
ในขณะเดียวกัน บนกำแพงเมืองก็อลหม่านจนแยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู
แม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดนนำทหารองครักษ์ ฆ่าฟันศัตรูจนเกิดเป็นทะเลโลหิต ในที่สุดก็มาบรรจบกับฉินเฟิงที่ประตูเมือง
“ฉินเชียนฮู่ ต้านทานไม่ได้แล้ว รีบหนีเข้าไปในเมืองชั้นในเถิด!”
ฉินเฟิงแบกโล่และหายใจหอบถี่ ชุดเกราะที่สวมอยู่นั้นมีรอยบุบเป็นหลุม เนื่องจากถูกอาวุธไร้คมทุบและมีรอยแยกขนาดใหญ่ที่เกิดจากอาวุธเจาะเกราะฉีกขาด บาดแผลที่อยู่ข้างในชุดเกราะก็มีหลายแห่ง
เลือดที่ไหลออกมาแทบจะดูดเอาพละกำลังทั้งหมดของฉินเฟิงไปจนหมดสิ้น
แต่เมื่อเผชิญกับคำสั่งล่าถอยของแม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดน ฉินเฟิงกลับไม่ยอมทำตาม
“ถอยไม่ได้! ต้องรักษาเมืองเอาไว้และต่อสู้จนกว่าจะเหลือทหารคนสุดท้าย!”
“หากถอยกลับเมืองชั้นในก็เท่ากับว่ากองทัพศัตรูได้ยึดเมืองชายแดนไปแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น กองทัพศัตรูก็แค่ค่อย ๆ ล้อมและทำให้เราอ่อนล้าลงไปเรื่อย ๆ ส่วนเมืองชั้นนอกก็จะได้รับการซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ เรามีคนไม่มากแล้ว ถ้าถอยกลับเมืองชั้นในจะไม่มีกำลังไปแย่งเมืองชั้นนอกคืนมาได้แน่! เราต้องขวางกองทัพศัตรูเอาไว้ที่ประตูเมืองชั้นนอกให้ได้!”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ