บทที่ 542 แผ่นป้ายวิญญาณของหลี่หลาง
ฉินเฟิงนั่งอยู่บนม้าหินอ่อนไม่เอ่ยวาจาใด ความคิดมากมายอยู่ในหัว
ตอนแรกหลี่หลางไปเมืองหลวงหมายจะสังหารเขา
ต่อมาก็ไปยังอำเภอชางผิงเพื่อจัดการกับภัยแล้งด้วยกัน…
หากไม่ทะเลาะก็ไม่รู้จักกัน…
จากพบกัน ได้รู้จัก และสนิทกันจนกลายเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย
ฉินเฟิงเคยสัญญากับหลี่หลางเอาไว้ว่าจะช่วยครอบครัวของเขาล้างมลทินจาก ‘ความผิดอันไม่มีมูลความจริง’ และฟื้นคืนชื่อเสียงวงศ์ตระกูล
ฉินเฟิงพยายามอย่างเต็มที่มาโดยตลอดเพื่อทำตามสัญญานั้น
แต่ไม่ว่าวันนั้นจะมาถึงหรือไม่ หลี่หลางก็ไม่มีวันได้เห็นมันแล้ว
หลิ่วหงเหยียนและเหล่าหญิงสาวกลับเข้าไปในเรือนของตน รู้สึกโล่งใจที่หลุดพ้นจากสายตาอันร้อนแรงของชาวบ้านเสียที
พวกนางกำลังจะหารือเรื่องราวเก่า ๆ กับฉินเฟิง
แต่กลับพบว่าฉินเฟิงนั่งอยู่บนม้าหินอ่อน สีหน้าบิดเบี้ยว กำมือแล้วก็คลายออกซ้ำไปซ้ำมา
เมื่อฉินเฉิงซื่อส่งสายตาให้ พวกนางจึงเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็ถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ฉินเฟิงจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
แต่ก็ยังคงไม่เอ่ยคำใด เขาก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังศาลาว่าการอำเภอ
ชาวบ้านที่มุงอยู่รอบ ๆ ศาลาว่าการอำเภอเห็นฉินเฟิงออกมาก็โห่ร้องอีกครั้ง
คำสรรเสริญมากมายหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ
แต่ฉินเฟิงกลับไม่อยู่รับฟัง
เขาเพียงมุ่งหน้าฝ่าฝูงชนไปยังที่พักของหมิงอ๋อง
หลินฉวีฉีเข้าใจบางสิ่งในบัดดลจึงสั่งให้มือปราบไล่ฝูงชนที่รวมตัวกันออกไป
ในวันอันเป็นมงคลเช่นนี้ ผู้คนควรมีความสุข ถึงจะมีข่าวร้ายก็ควรเก็บไว้แจ้งในวันพรุ่ง
แต่ฉินเฟิงมิอาจเสวยสุขเพียงลำพังและทิ้งให้ครอบครัวของหมิงอ๋องรับความโศกเศร้าเพียงฝ่ายเดียว
ราวกับต้องการหลีกเลี่ยงมิให้ความโศกเศร้ามาทำลายความยินดีในชัยชนะของฉินเฟิง จวนที่หมิงอ๋องอาศัยอยู่จึงเงียบสงัดยิ่งนัก
ข้างประตูมีเพียงโคมไฟสีขาวขนาดเล็กแขวนอยู่ แสดงให้รู้ว่าในจวนมีการจัดงานศพ
ฉินเฟิงรวบรวมความกล้าผลักประตูจวนออก แม้ว่าจะเคยเผชิญกับเลือดและไฟ เขาก็ไม่เคยหลั่งน้ำตา ทว่าตอนนี้นายน้อยหนุ่มกลับกลั้นไว้ไม่อยู่
หยาดน้ำตาก่อตัวขึ้นคลอเบ้า
ลานหน้าจวนดูว่างเปล่า มีเพียงธงสีขาวแขวนอยู่รอบ ๆ
ในห้องโถงมีโลงศพขนาดใหญ่ตั้งโดดเดี่ยวเปิดฝาอยู่ เบื้องหน้าตั้งป้ายวิญญาณจารึกว่า ‘หลี่หลาง ท่านหนานแห่งอำเภอฝูอวิ้น โอรสของหมิงอ๋องแห่งแคว้นต้าเหลียง’
ในฐานะโอรสแห่งมังกรที่มีสายเลือดราชวงศ์ไหลเวียนอยู่ในกาย ทว่าแม้กระทั่งตอนสิ้นชีพเพื่อชาติหลี่หลางก็ยังเป็นเพียงขุนนางน้อย ๆ ผู้หนึ่ง
หมิงอ๋องกับหลี่จางนั่งอยู่ทางด้านตะวันตกของห้องโถง สวมชุดไว้ทุกข์ คาดผ้าขาวไว้ที่ศีรษะ
หมิงอ๋องที่ครั้งหนึ่งเคยแข็งแกร่งและกล้าหาญ บัดนี้ราวกับแก่ลงไปสิบกว่าปีในพริบตา
ความหยิ่งยโสของหลี่จางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาจมอยู่กับความเงียบและเย็นชา จ้องมองกระดาษเงินที่ลุกโชนอยู่ในเตาถ่าน
ฉินเฟิงก้าวเดินทีละก้าวอย่างยากลำบากเข้ามาภายในโถง
จนกระทั่งเข้ามาใกล้หมิงอ๋องและหลี่จาง ทั้งคู่จึงสังเกตเห็นฉินเฟิง
ยังมิทันที่บิดาผู้ตายจะได้กล่าววาจาใด ฉินเฟิงก็คุกเข่าลงตรงหน้าแท่นบูชาแล้วก้มลงคำนับสามครั้ง
ฉินเฟิงมิได้รีบลุกขึ้นและยังคงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าแท่นบูชา เพ่งมองไปที่โลงศพ
จากคำบอกเล่าของฉินเฉิงซื่อ หลี่หลางจากไปแล้วราวครึ่งเดือน
ถึงแม้บัดนี้จะเป็นฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มหนาวเย็น ทว่าศพที่ผ่านเวลามายาวนานเช่นนี้ย่อมเน่าเปื่อย
ทว่าโลงศพมิได้ปิดฝาและฉินเฟิงก็มิได้กลิ่นเหม็นเน่าใด ๆ เลย
นี่เป็นเครื่องยืนยันว่า หลี่หลางมิได้อยู่ในโลงศพนี้
ในสมรภูมิที่โชกไปด้วยเลือด มิใช่ว่าทหารทุกคนจะมีโอกาสได้ตายพร้อมม้าศึก
ทหารผู้พลีชีพส่วนใหญ่ล้วนไร้สุสาน
ฉินเฟิงกำหมัดแน่น ใบหน้าซีดลง เขาหันกลับไปจ้องหมิงอ๋องด้วยความโกรธเกรี้ยว


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ