บทที่ 543 ส่งโลงกลับเมืองหลวง
หมิงอ๋องกับหลี่จางซาบซึ้งใจยิ่งนัก
หากมิใช่หลี่จางห้ามปรามไว้ ด้วยนิสัยของฉินเฟิงย่อมต้องล้างแค้นฆ่าเฉินซือเป็นแน่
ฉินเฟิงผู้นี้ แม้ยามปกติจะเกียจคร้านไร้ความจริงจัง ทว่ายามที่ถูกไล่บี้จนถึงจุดต่ำสุด เขากลับเผยเขี้ยวเล็บออกมาอย่างเฉียบขาด
ถึงอย่างไร…
ฉินเฟิงก็เป็นผู้นำทหารม้าเกราะเบาเพียงสองร้อยบุกเข้าไปในเขตแดนข้าศึก ช่วยเหลือทหารค่ายเทียนจี เรื่องราวของแม่ทัพผู้นี้ล้วนเลื่องลือไปทั่วทั้งแผ่นดิน
ภายใต้การปลอบโยนของหมิงอ๋องและหลี่จาง ฟันที่ขบแน่นของฉินเฟิงจึงค่อย ๆ คลายออก
“ข้าไม่สามารถทวงความยุติธรรมให้แก่หลี่หลางได้ แม้แต่การล้างแค้นก็ทำไม่ได้…”
“ข้าไม่คู่ควรเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับหลี่หลาง!”
ท่ามกลางสายตาอันซาบซึ้งใจของหมิงอ๋องและหลี่จาง ฉินเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึก วาจาของเขาหนักแน่นและเด็ดขาด ดวงตาทอประกายความมุ่งมั่น
“ตอนนี้ พิธีศพของหลี่หลางเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
“เมื่อเสร็จสิ้นงานศพนี้…”
แม้ฉินเฟิงจะมิได้กล่าวต่อ แต่หมิงอ๋องและหลี่จางก็เข้าใจดีถึงสิ่งที่ฉินเฟิงจะกระทำ
หมิงอ๋องและหลี่จางเผลอกลั้นหายใจ ก้อนหินที่ทับถมอยู่ที่หัวใจราวกับหายไปไม่น้อย
ฉินเฟิงมิได้สนใจการห้ามปราม เขาสวมชุดไว้ทุกข์ คุกเข่าอยู่ข้างโลงศพอย่างสงบ ใส่กระดาษเงินลงเตาไฟอย่างสม่ำเสมอ
“น้องชายเอ๋ย ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าจนการเดินทางครั้งสุดท้ายมาถึง”
ไม่นาน หนิงหู่ก็มาถึงหลังจากได้ยินข่าว จากนั้นก็ผลักประตูจวนเข้ามา
สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธและความเศร้าราวกับเป็นปฏิกิริยาเดียวกับที่ฉินเฟิงแสดงออกมา
เมื่อเห็นฉินเฟิงกำลังไว้ทุกข์ให้กับหลี่หลาง หนิงหู่ก็สงบลงในทันที
หลังจากทำความเคารพหน้าแท่นบูชาแล้ว เขาก็หยิบผ้าขาวมาผูกที่หน้าผากแล้วนั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ ฉินเฟิงเงียบ ๆ
ไม่นาน จ้าวอวี้หลงและสวีโม่ก็ตามมาเช่นกัน
พิธีศพครั้งนี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ฉินเฟิงพยายามจะจัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่ให้กับหลี่หลาง แต่หมิงอ๋องปฏิเสธไปทุกครั้ง
หลี่หลางเป็นเชื้อพระวงศ์และยังเสียสละชีพเพื่อแว่นแคว้น สมควรอย่างยิ่งที่ฮ่องเต้จะเป็นผู้นำจัดพิธีศพอย่างสมเกียรติ
หลุมศพชั่วคราวตั้งอยู่ที่อำเภอเป่ยซี ขณะนี้ข่าวการเสียชีวิตของหลี่หลางได้ส่งไปยังเมืองหลวงแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือรอการขนย้ายโลงศพกลับเมืองหลวง
ทว่า…
เวลาผ่านไปหลายวันก็ยังไม่มีข่าวคราวใด ๆ จากเมืองหลวง
ถึงแม้บรรดาศักดิ์ของหลี่หลางจะเป็นเพียงหนาน แต่โดยกำเนิดแล้วเขายังคงเป็น ‘เชื้อพระวงศ์’ ตามธรรมเนียมควรจะมีพิธีเก็บศพภายในห้าวันและพิธีฝังศพภายในห้าเดือน
หลี่หลางสิ้นชีพไปนานกว่าห้าวันแล้ว
เนื่องจากไม่มีร่างจึงใช้เสื้อผ้าแทน ดังนั้นจึงไม่ต้องพิจารณาถึงปัญหาการเก็บรักษาศพ แต่ตามธรรมเนียมแล้วควรฝังศพภายในห้าเดือน
ไม่ว่าอย่างไร ฝ่าบาทก็ควรจะรีบออกพระราชโองการรับสั่งให้ย้ายโลงศพกลับเมืองหลวง
ดูเหมือนฝ่าบาทจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วหรือบางทีอาจจงใจละเลย
ตามธรรมเนียม ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วควรได้รับความเคารพ ไม่ว่าฝ่าบาทกับหมิงอ๋องจะมีความบาดหมางใด ๆ ก็ไม่สมควรลงโทษไปถึงลูกหลาน
การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้หมิงอ๋องเสียใจจนหัวใจแทบสลาย แต่ยังทำให้ฉินเฟิงโกรธแค้นมากกว่าเดิม
สิบวันต่อมา ยังคงไม่มีพระราชโองการจากฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง
ฉินเฟิงไม่รอช้า สั่งให้ค่ายเทียนจีสร้างรถม้าขึ้นมาหกคัน
บนรถม้าบรรทุกโลงศพที่ประดับด้วยทองคำ นำโดยองครักษ์แห่งค่ายเทียนจี และทหารจากอำเภอเป่ยซีแปดร้อยนายที่ร่วมเดินทางไปด้วย
ขบวนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่
เนื่องจากเป็นขบวนเคลื่อนย้าย ‘โลงศพเชื้อพระวงศ์’ จึงมีผู้คนมากมายห้อมล้อม การเดินทางจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ใช้เวลานานถึงครึ่งเดือนจึงจะเดินทางมาถึงเขตเมืองหลวง
ณ พระราชวังต้องห้าม ห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกำลังทบทวนและหารือเรื่องต่าง ๆ
จางซิวเย่รายงานอย่างเร่งรีบว่า “ทูลฝ่าบาท ท่านหนานหลี่หลางได้กลับมาเมืองหลวงแล้ว”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘หนานหลี่หลาง’ สีหน้าของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็มืดครึ้มลงอย่างเห็นได้ชัด
จางซิวเย่รู้ตัวว่าเอ่ยผิดไป หัวใจพลันเต้นตึกตัก รีบก้มลงคุกเข่า

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ