บทที่ 544 ข้าจะไม่ยอมล่าถอย
สายตาชาวบ้านในที่เกิดเหตุแปรเปลี่ยนอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
ความโกรธเกรี้ยวและดูหมิ่นซุกซ่อนในแววตา
บรรดาชนชั้นสูงในเมืองหลวงที่ปะปนอยู่ในฝูงชนก็เริ่มแทงหลังฉินเฟิงอย่างไม่ยั้งมือ
“เห็นหรือยัง หางสุนัขจิ้งจอกตัวนี้โผล่ออกมาแล้ว!”
“ขี่ม้าบนถนนหลวง ช่างบังอาจนัก เจ้าฉินเฟิงอาศัยความดีความชอบในสมรภูมิทางแดนเหนือย่ำยีกฎเกณฑ์ในเมืองหลวง วางตนโอ่อ่าเช่นนี้ เฮอะ! ช่างเป็นหมาป่าทะเยอทะยานจริง ๆ!”
“ไอ้เจ้านี่ แม้แต่ฝ่าบาทก็ไม่เกรงกลัวแล้วกระมัง?”
“ฉินเฟิงลงจากม้าเดี๋ยวนี้ เว้นแต่มีราชกิจเร่งด่วนหรือราชวงศ์เสด็จ เมื่อเข้าเขตเมืองหลวงล้วนห้ามขี่ม้าบนถนนโดยเด็ดขาด แม้แต่ไท่เป่าก็ยังต้องปฏิบัติตามแล้วเจ้าเป็นผู้ใดกัน!”
“หน่วยลาดตระเวนอยู่ไหน จับกุมฉินเฟิงเร็วเข้า!”
ความบาดหมางระหว่างชนชั้นสูงในเมืองหลวงกับฉินเฟิงสั่งสมมานานแล้ว พวกเขาย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสในการจัดการฉินเฟิง
ภายใต้การยุยงของชนชั้นสูงในเมืองหลวง
ผู้คนมากมายเริ่มผสมโรงตำหนินายน้อยหนุ่ม
ฉินเฟิงกลับมาพร้อมชัยชนะ ควรจะได้รับการสรรเสริญ แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นหนูบนถนนตัวหนึ่ง
ท่ามกลางความโกลาหล รถม้าบรรทุกโลงศพค่อย ๆ เคลื่อนผ่านประตูเมือง ปรากฏสู่สายตาทุกคน
เมื่อเห็นโลงศพ คำด่าทอเซ็งแซ่ก็เงียบลงทันที
ตอนนี้ทุกคนตระหนักได้ว่า ฉินเฟิงเดินทางกลับเมืองหลวงคราวนี้มิใช่เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ หากแต่เพื่อคุ้มกันร่างไร้วิญญาณของวีรชน!
ปฏิกิริยาของราษฎรทั้งหลายล้วนอยู่ในสายตาของฉินเฟิง
เห็นได้ชัดว่าภายใต้การป้องกันอย่างเข้มงวดของฮ่องเต้ต้าเหลียง ราษฎรทั้งหลายมิได้ล่วงรู้เลยว่าท่านหนานหลี่หลางสิ้นแล้ว
ฉินเฟิงโกรธแค้นยิ่งนัก เขากำบังเหียนม้าแน่น สายตาเฉียบคมยิ่ง
ครั้นฉินเฟิงเหลือบมอง หนิงหู่ก็เข้าใจในทันที เสียงอันทรงพลังดังก้องไปทั่วท้องถนนในบัดดล
“ท่านหนานหลี่หลางสิ้นแล้ว ขบวนศพจะเคลื่อนกลับเมืองหลวงเพื่อบรรจุในโถงบรรพชนของราชวงศ์ จงหลีกทาง อย่าได้รบกวนการบรรทมของเขา ผู้ใดขัดขวางมีโทษประหารชีวิตทันที!”
เหล่าราษฎรในที่แห่งนั้นต่างถอยกรูด ความสับสนฉายชัดบนใบหน้า
แม้แต่ชนชั้นสูงผู้ก่อเรื่องก็ยังสงบปากสงบคำ
สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังโลงศพสีทองอร่าม
จนกระทั่งเห็นป้ายวิญญาณหน้าโลงและตัวอักษรสีทองที่เขียนว่า ‘หนานหลี่หลางโอรสแห่งหมิงอ๋อง’
ทุกคนจึงค่อย ๆ ตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มหลายคนพากันกระซิบกระซาบ
“เชื้อพระวงศ์สิ้น ไยจึงไม่เคยมีข่าวให้ได้ยิน!”
“ขบวนยิ่งใหญ่นี้เดินทางกลับจากแดนเหนือสู่เมืองหลวงต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือน ฝ่าบาทน่าจะต้องมีพระบรมราชโองการประกาศข่าวเศร้านี้นานแล้วมิใช่หรือ?”
“หนานหลี่หลางสิ้นแล้ว? ข้าจำได้ว่าเขาเป็นท่านหนานแห่งอำเภอฝูอวิ้น เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ด้วยหรือ?”
“เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้รึ หากพิจารณาจากสายเลือดอย่างไรก็นับว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่เหตุใดฝ่าบาทจึงมอบบรรดาศักดิ์ให้เขาเป็นเพียงหนานเล่า? นี่เป็นสิ่งที่พวกเราไม่ควรวิจารณ์”
ฉินเฟิงเมินเฉยต่อสายตารอบ ๆ เขาเพียงนำขบวนเดินตรงไปยังโถงบรรพชนของราชวงศ์
ทว่าเคลื่อนขบวนไปได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าหน้าที่กรมพิธีการกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาขวางทาง
ผู้นำคือหนึ่งในขุนนางจากกรมพิธีการ จ้าวฮ่วน
จ้าวฮ่วนยืนอยู่กลางถนน พร้อมคำนับขบวนรถ
“ฉินเชียนฮู่สร้างคุณงามความดีมากนัก กลับสู่เมืองหลวงคราวนี้ พวกข้าจากกรมพิธีการมาต้อนรับท่านเป็นพิเศษ”
“หนานหลี่หลางจากอำเภอฝูอวิ้นคือวีรชนผู้สละชีพเพื่อชาติ ฝ่าบาทเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่งจึงมีรับสั่งให้พวกข้าอัญเชิญโลงศพไปฝังยังประตูไท่ผิง”
ประตูไท่ผิงอยู่ในเขตเมืองหลวงเป็นรองเพียงโถงบรรพชนราชวงศ์
วีรชนผู้สร้างคุณงามความดีให้ต้าเหลียง หากไม่ประสงค์กลับภูมิลำเนาก็ล้วนถูกฝังไว้ที่ประตูไท่ผิง
เมื่อรู้ว่ากรมพิธีการเตรียมการเช่นนี้ สีหน้าฉินเฟิงพลันเย็นชา เขามองขุนนางกรมพิธีการตรงหน้าด้วยสายตาดูถูก
แววตาเฉียบคมที่หล่อหลอมมาจากสนามรบทำให้ขุนนางกรมพิธีการผู้หนึ่งถึงกับขนลุกซู่
“หนานหลี่หลางอาจเป็นเพียงขุนนางชั้นล่าง แต่เลือดเนื้อเชื้อไขสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์หลี่ หากฝังที่ประตูไท่ผิงเช่นนี้ถือว่าละเมิดธรรมเนียม!”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ