บทที่ 561 การโจมตีทั้งทางการทูตและการทหาร
เฉินซือเป็นแม่ทัพผู้เก่งกล้า เป็นผู้บัญชาการกองทัพเป่ยตี๋ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยต่าง ๆ นานาก็สามารถสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับแคว้นต้าเหลียงได้
ด้วยเหตุนี้ เฉินซือย่อมมิใช่คนหุนหันพลันแล่น แต่เป็นผู้มีทั้งความรู้ด้านการเมืองและการทหาร
เฉินซือไม่มีมารยาทถึงขั้นรนหาที่ตาย
ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพียงกลอุบายของเขา
หากฮ่องเต้ต้าเหลียงโกรธจนขาดสติ ลงโทษเฉินซืออย่างหนัก หรือถึงขั้นประหารชีวิต แคว้นเป่ยตี๋ก็จะมีข้ออ้างให้ยกเลิกการเจรจา
ถึงเป่ยตี๋จะพ่ายแพ้และขาดแคลนเสบียงอาหารอย่างหนัก แต่ก็ยังมีกำลังในการป้องกันดินแดนอยู่
แม้จะยกเลิกการเจรจา ต้าเหลียงก็ไม่อาจทำอะไรเป่ยตี๋ได้ หรือหากจะส่งทหารไปโจมตีเป่ยตี๋จริง ๆ เป่ยตี๋ก็จะได้เปรียบในสนามรบ และเมื่อถึงตอนนั้นเป่ยตี๋จะทำให้ต้าเหลียงตระหนักว่า กองทหารม้าเป่ยตี๋น่ากลัวเพียงใด
เฉินซือกำลังวางแผนจะใช้ชีวิตของตนแลกกับการที่แคว้นเป่ยตี๋จะไม่ต้องเสียค่าปฏิกรรมสงคราม
แม้จะเผชิญกับการยั่วยุของเฉินซือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ไม่หลงกล
ฮ่องเต้ต้าเหลียงไม่สนใจเฉินซือ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ฉินเฟิง
“ฉินเฟิงเจ้ามีความมั่นใจกี่ส่วนว่าจะสั่งสอนเป่ยตี๋ได้?”
ฉินเฟิงรู้อยู่แล้วว่าเฉินซือมิใช่คนที่จะหลอกลวงได้ง่าย ๆ เขาจึงเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่
แม้ยามปกติ นายน้อยฉินจะมีเรื่องขัดแย้งกับฮ่องเต้ต้าเหลียงมากเพียงใด
แต่ยามนี้ต้องเผชิญหน้ากับศึกนอก แน่นอนว่าย่อมวางอคติและรวมใจเป็นหนึ่งต่อสู้กับข้าศึกก่อน
ฉินเฟิงคารวะฮ่องเต้ต้าเหลียงด้วยท่าทางนอบน้อม
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะให้ทหารชายแดนเหนือตีสามเมืองของเป่ยตี๋ภายในครึ่งเดือน หากทำมิได้ก็จะยอมตัดหัวตัวเองพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อได้ยินคำนี้ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ครุ่นคิดในใจ
ครึ่งเดือนตีเมืองแตกได้สามเมืองหรือ ล้อเล่นกระมัง?!
อาณาเขตของเป่ยตี๋กว้างใหญ่ เอื้ออำนวยให้กองทหารม้าได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ แต่แคว้นต้าเหลียงกลับใช้แต่ทหารราบเป็นหลัก
ในการรบเชิงตั้งรับ แคว้นต้าเหลียงสามารถสู้กับแคว้นเป่ยตี๋จนหน้าเขียวได้
แต่หากเป็นการรุกโจมตี แคว้นต้าเหลียงหาใช่คู่ต่อสู้ของเป่ยตี๋
ถึงฮ่องเต้ต้าเหลียงจะไม่เชื่อคำลวงของฉินเฟิง แต่ก็มิอาจแสดงความอ่อนแอออกมาได้
“ดี! เจ้าจัดการตามที่เห็นสมควรเถอะ!”
เฉินซืออดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้เห็นภาพฮ่องเต้กับขุนนางรับส่งกันลื่นไหล
เขาส่ายหัวเอือมระอา
“ว่ากันว่าแคว้นต้าเหลียงให้ความสำคัญกับวรรณศิลป์มากกว่าการทหาร เดิมทีข้าไม่เคยเชื่อ”
“เพราะทหารชายแดนเหนือของต้าเหลียงมีเลือดนักรบอยู่ไม่น้อย”
“แต่เมื่อได้เห็นการรับส่งงิ้วของฮ่องเต้กับขุนนางต้าเหลียงในวันนี้ ข้าก็เข้าใจแล้วว่านักปราชญ์ก็คือตัวตลกดี ๆ นี่เอง!”
“เพียงครึ่งเดือนก็จะตีเมืองใหญ่ของเป่ยตี๋ได้ถึงสามเมืองหรือ? ฮ่า ๆ ช่างเป็นเรื่องตลกจริง ๆ”
เมื่อเผชิญหน้ากับเสียงเยาะเย้ยถากถางของเฉินซือ เหล่าขุนนางต่างก็หน้าแดงหน้าขาวไปตาม ๆ กัน
แม้แต่ฉินเทียนหู่ก็ยังหน้าร้อนผ่าว
ครั้งนี้ฉินเฟิงโอ้อวดใหญ่โตเกินไปจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเชิงทฤษฎีหรือปฏิบัติก็ดูเป็นไปไม่ได้
ถึงฉินเฟิงจะต้องการข่มขวัญเฉินซือก็ไม่ควรโม้โดยไม่คิดหน้าคิดหลังเช่นนี้
เมื่อเห็นว่าเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ของต้าเหลียงมีสีหน้าลำบากใจ แต่เฉินซือกลับมีสีหน้าเย้ยหยัย บรรยากาศก็เริ่มจะวุ่นวาย
แต่ฉินเฟิงยังคงนิ่งเฉย มิได้อธิบายอะไร
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของหนิงหู่ดังมาจากนอกท้องพระโรง
“ท่านโหวฉิน คำสั่งได้ส่งออกไปแล้ว ภายในสามวันม้าเร็วจะมาถึงอำเภอเป่ยซีขอรับ”
“กองทหารม้าทมิฬสามพันคน ทหารม้าเกราะเบาหกพันคน ทหารราบหมื่นคน ทั้งหมดจะเป็นกองหน้าในการบุกเป่ยตี๋”
แม้จะได้ยินรายงานของหนิงหู่ สีหน้าของเฉินซือก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
ตามข่าวสารที่เฉินซือได้รับมา จริงอยู่ว่าหากเป็นตอนอำเภอเป่ยซีรุ่งเรืองที่สุดก็อาจจะสามารถรวบรวมทหารจำนวนนี้ได้
แต่หลังจากสงครามครั้งใหญ่ เป่ยซีก็สูญเสียไปมากมาย คาดว่าคงเหลือกำลังพลไม่ถึงครึ่ง
นี่จึงเป็นเพียงการข่มขู่หลอกลวงเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล
ยามนี้เหล่าขุนนางและฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงได้แต่จำใจคอยดูว่า ฉินเฟิงจะแสดงละครบทใดต่อไป
ฉินเฟิงไพล่มือไว้ด้านหลัง แสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้านแล้วกล่าวว่า


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ