บทที่ 571 งานวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์ชายรอง
จิตใจของฉินเฟิงหนักอึ้ง
องค์ชายรองเชิญเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์เข้าร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพ จุดประสงค์คาดเดาได้ไม่ยาก
เขาต้องการใช้เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์เพื่อควบคุมฉินเฟิง
กว่าคณะทูตเป่ยตี๋จะมาถึงเมืองหลวง อย่างช้าก็สามเดือน เร็วที่สุดก็เดือนกว่า ๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ก่อนคณะทูตเป่ยตี๋จะเข้าเมืองหลวง การแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทจะต้องถูกตัดสิน
เวลาเร่งด่วนเช่นนี้ หลี่เฉียนย่อมไม่เลือกวิธีการ
เขาย่อมตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว ที่จะทุ่มเทอย่างสุดกำลังในงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของเขา
แม้ฉินเฟิงจะรู้ดีว่าอันตราย แต่ก็ยังตัดสินใจเข้าร่วมงานเลี้ยง เหตุผลก็คือ…
เป็นวาสนา ไม่ใช่คราวเคราะห์ และถ้าเป็นคราวเคราะห์ อย่างไรก็หลบไม่พ้น
ยิ่งกว่านั้น เขาไม่ได้พบเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์มาระยะหนึ่งแล้ว เลยคิดใช้โอกาสนี้ไปเจอเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์สักหน่อย
วันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์ชายรองใกล้เข้ามาแล้ว ผ่านไปพริบตาเดียวก็มาถึง
เมืองหลวงทั้งเมืองคึกคักเป็นพิเศษ
ขุนนางตั้งแต่ขั้นสามขึ้นไปไม่ได้เข้าร่วมงานมากนัก เนื่องจากความอ่อนไหวของฐานะ
แต่ขุนนางที่ต่ำกว่าขั้นสาม ไม่ได้มีความคิดรอบคอบเช่นนั้น ต่างก็นำของกำนัลมามอบให้องค์ชายรองกันมากมาย
นอกจากนี้ก็มีบุตรหลานขุนนางแห่งเมืองหลวง พ่อค้า และบัณฑิต
งานเลี้ยงมีผู้คนเข้าร่วมเนืองแน่น คึกคักยิ่งนัก
สถานที่จัดงานถูกเลือกอย่างพิถีพิถัน โดยยืมจวนของไท่เป่าหลินมาใช้
ยามปกติจวนหลังนี้ไม่มีผู้ใดอยู่ หากคนตระกูลหลินจากเจียงหนานมาเยือนก็จะพักที่นี่
วันนี้จัดงานเลี้ยงในจวนของตระกูลหลิน ย่อมเท่ากับประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่า องค์ชายรองได้รับการสนับสนุนจากไท่เป่าหลิน
เรียกได้ว่าร่วมมือกันอย่างแข็งแกร่ง
เหล่าผู้คนจำนวนมากที่เฝ้าดูอยู่ในลานกว้างต่างพากันเข้าร่วมงานและแสดงความยินดีกับองค์ชายรอง
ส่วนแขกอาวุโสเข้ามาในจวนก่อนแล้ว
ภายในจวน ต้องมีขุนนางที่น่านับถือเข้ามานั่งก่อน เหล่าผู้เยาว์จึงจะตามเข้ามาได้
ดังนั้นจึงคนหนุ่มสาวจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ที่ลานกว้างหน้าประตูจวนตระกูลหลิน
เดิมทีบรรยากาศในงานสนุกสนาน
แขกที่มาร่วมงานถึงจะไม่ใช่ผู้สนับสนุนองค์ชายรองอย่างเหนียวแน่น แต่ในใจก็ล้วนมีความคิดอยากข้องเกี่ยวอยู่ไม่มากก็น้อย
เมื่อทุกคนอยู่ในแวดวงเดียวกัน ย่อมให้การต้อนรับกันอย่างดีเป็นธรรมดา
กระทั่งเสียงตะโกนหนึ่งดังขึ้น บรรยากาศแห่งความกลมเกลียวก็ถูกทำลายลงในทันที
“ท่านโหวฉินมาถึงแล้ว!”
เสียงแหบแห้งของฉินเสี่ยวฝูก้องกังวาน
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ฉินเฟิงเป็นตาเดียว
ไม่ว่าใครก็ล้วนแสดงสีหน้าเหยียดหยามทั้งสิ้น
ทว่าฉินเฟิงไม่ได้สนใจสายตาเหล่านั้นแม้แต่น้อย
เขาเอามือไพล่หลัง เดินเยี่ยงขุนนางเก่าแก่ผู้มีอำนาจ ผ่านประตูจวนตระกูลหลินเข้าไปอย่างองอาจ
ผู้คนในงานไม่ชอบฉินเฟิงอยู่ก่อนแล้ว ครั้นเห็นฉินเฟิงทำตัวไม่สำรวมก็โกรธมาก
ตอนแรกพวกเขาเพียงซุบซิบกันเบา ๆ จนมีผู้คนเข้าร่วมมากขึ้น เสียงกระซิบกระซาบก็ค่อย ๆ กลายเป็นการต่อว่าอย่างโจ่งแจ้ง
“ดูใบหน้านั่นสิ ช่างเป็นคนพาลเสียจริง”
“เขาคงลืมไปกระมังว่าในท้องพระโรงครั้งก่อน เขาร้องขอความเมตตาอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับฝ่าบาท”
“การส่งคนเช่นนี้ไปรบกับเป่ยตี๋เป็นความผิดพลาด!”
“คนเช่นนี้ก็แค่พึ่งพาความดีความชอบมาอวดเบ่ง แท้จริงจะเก่งกาจเพียงใดเชียว!”
“เหตุใดองค์ชายรองถึงเชิญเขามากัน เขาไม่คู่ควรแม้แต่จะสวมรองเท้าให้องค์ชายรองด้วยซ้ำ!”
“องค์ชายรองจะใส่ใจกับคนทรยศเยี่ยงนี้ไปไย?!”
“เจ้าพูดถูก! หรือพระองค์เห็นเจ้าคนทรยศพอมีความชอบในสงครามอยู่บ้าง จึงเชิญมาสักหน่อย”
“คนทรยศ?! ฮ่าฮ่าฮ่า คนทรยศที่แท้จริง”
บรรดาคนรอบ ๆ ต่างก็หัวเราะออกมา พวกเขาล้วนมองฉินเฟิงด้วยสายตาเสมือนว่าเขาเป็นผู้ทรยศแผ่นดิน
แต่ฉินเฟิงกลับไม่ใส่ใจ
ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าหรือขุนนางในราชสำนัก สิ่งที่ฝึกฝนมาตลอดก็คือความหน้าด้าน


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ