บทที่ 607 ท่านอาผู้อยู่ห่างไกล
กลอุบายต่ำช้าเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดจะหลงกล
ทว่า…
ท่านผู้บัญชาการใหญ่กลับไม่คิดอะไรเลย และรับปากในทันที “เอาตามเจ้าว่าเถอะ!”
“เพื่อให้การเจรจาสงบศึกดำเนินไปอย่างราบรื่น ข้าพร้อมจะใช้ตัวเองแลกกับตัวเสนาบดีกรมยุติธรรม แต่ว่า…”
“เจ้าเด็กน้อยฉินเฟิง เจ้าอย่าได้กลับคำพูดเชียว หากแม้แต่ความน่าเชื่อถือเพียงเท่านี้ยังไม่มี คนทั้งแผ่นดินจะหัวเราะเยาะเจ้า”
ขณะกล่าวคำ จ้าวหลีก็ลงจากหลังม้า
บรรดาแม่ทัพนายกองพยายามขัดขวางสุดกำลัง แต่ผู้บัญชาการใหญ่กลับมีท่าทีแน่วแน่ ก้าวเดินไปทางฉินเฟิง
ยังไม่ทันที่ท่านผู้บัญชาการใหญ่จะมาถึงตรงหน้า ฉินเฟิงก็ส่งสายตาให้หนิงหู่ หนิงหู่ไม่พูดอะไร ผลักผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ไปด้านหลัง แล้วกระโจนเข้าไปกดท่านผู้บัญชาการใหญ่ลงกับพื้น
“ท่านผู้บัญชาการ!”
กองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์และรองแม่ทัพค่ายตะวันออกและค่ายตะวันตกต่างโกรธเกรี้ยว ชั่วขณะหนึ่งสถานการณ์ปั่นป่วนขึ้นมา โดยเฉพาะกองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์ ที่เกือบจะบุกเข้าโจมตีแล้ว
ทว่าหนิงหู่เอาดาบจ่อคอท่านผู้บัญชาการใหญ่ไว้ กองทหารรักษาการณ์ทั้งหมดจึงต้องถอยกลับไป
เสียงตะโกนด่าทอดังระงม
ครั้นเห็นว่าเสนาบดีกรมยุติธรรมยังอยู่ในมือของฉินเฟิง ท่านผู้บัญชาการใหญ่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ฉินเฟิง ตระบัดสัตย์หรือ!”
ฉินเฟิงยิ้มเยาะอย่างไม่ใส่ใจ แล้วกล่าวว่า “ช่วงเวลาความเป็นความตาย ยังจะพูดถึงคำสัตย์ได้อยู่หรือ?”
“ท่านผู้บัญชาการจ้าว ท่านเป็นบุรุษผู้กล้าหาญ พูดแล้วไม่คืนคำ”
“ส่วนข้า ฉินเฟิง เป็นเพียงนายน้อยเจ้าสำราญ จะมีความน่าเชื่อถืออะไร คำพูดข้าจะมีน้ำหนักสักกี่ชั่งกันเชียว”
จ้าวหลีทำท่าทีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน จ้องมองฉินเฟิงอย่างเอาเรื่อง “เจ้าเด็กปากเหม็น เจ้าจำคำของข้าให้ดี ฝ่าบาทจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่”
ฉินเฟิงไม่สนใจคำด่าทอของจ้าวหลี เขาโบกมือ แล้วทหารค่ายเทียนจีก็ควบคุมตัวจ้าวหลีไว้
ได้ยินเสียงจ้าวหลีตะโกนด่าทออย่างบ้าคลั่ง ในใจฉินเฟิงกลับขบขันไม่น้อย
ท่านผู้บัญชาการจ้าว ฝีมือการแสดงแย่เหลือเกิน
แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเล็กน้อยแล้ว ยังไงก็ไม่มีใครแยกแยะออกว่าอะไรจริงอะไรเท็จ
เช่นนี้แล้ว ฉินเฟิงก็มีตัวประกันอยู่ในมือสามคน แต่ละคนล้วนเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสิ้น
ทว่าตัวประกันเท่านี้น่าจะยังไม่พอ…
ฉินเฟิงครุ่นคิดว่าจะจับใครต่อดี แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังมาจากด้านหลัง
พอหันไปมองก็เห็นทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งมา
ขณะวิ่งก็ตะโกนไปด้วยว่า “ใต้เท้าช่วยตักเตือนท่านโหวฉินด้วย อย่าให้เขาหลงผิดและดื้อดึงอีกเลย”
“หากฉินเฟิงยอมหยุดเสียตอนนี้ ฝ่าบาทผู้มีพระทัยกว้างดั่งมหาสมุทรย่อมลดหย่อนโทษให้แน่นอน”
ฉินเทียนหู่ผู้ถูกปกป้องกลางขบวนทัพ เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าแก่วิ่งเข้ามา ในใจยินดีอยู่บ้าง
แต่ภายนอกกลับแสดงท่าทางตกใจจนหน้าเสีย รีบโบกมือ ตะโกนห้ามปราม
“กลับไปกันหมด อย่ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
ผู้ช่วยเสนาบดีกรมกลาโหมรีบวิ่งเข้ามา เพียงสามก้าวก็มาถึงหน้าแนวทัพของฉินเฟิง ภายใต้สายตาจับจ้องของผู้คนมากมาย เขาถึงกับยกมือปาดน้ำตา ท่าทางดูเจ็บปวดอย่างยิ่ง
“ท่านเสนาบดี ท่านโหวฉิน พวกท่านล้วนเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการต่อต้าเหลียง เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้เล่า”
“ตอนนี้ยังมีโอกาสกลับตัวนะขอรับ”
“รีบยอมจำนนเถิด อย่าได้ดิ้นรนต่อไปเลย”
ขุนนางกรมกลาโหมที่วิ่งมามีมากถึงสิบกว่าคน ตั้งแต่ผู้ช่วยเสนาบดี ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และขุนนางขั้นสี่ขั้นห้า
โอ้ ถึงจะมา “ส่งเนื้อ” ก็ไม่จำเป็นต้องแห่กันมาหมดหรอกนะ นี่มันออกจะดูปลอมเกินไปหน่อยกระมัง
แต่ว่า…
ถึงจะปลอมแค่ไหนก็ช่างเถิด ขอแค่ใช้ได้ผลก็พอ อย่างไร เรื่องราวในเมืองหลวงก็มักจะมีทั้งจริงและปลอมปะปนกันอยู่เสมอ หลายเรื่องถึงจะมองทะลุปรุโปร่งแล้ว ก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรได้
ฉินเฟิงโบกมือสั่ง
ทหารใต้บังคับบัญชาเข้าจับกุมขุนนางกรมกลาโหมทั้งหมด แล้วส่งตัวเข้าไปในแนวทัพ พอหลบพ้นสายตาของผู้คน ทหารค่ายเทียนจีก็รีบปล่อยมือ ก่อนจะประสานหมัดคำนับ ขออภัยเหล่าขุนนางกรมกลาโหม

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ