บทที่ 621 เล่นละครเท่านั้น!
อาการของหลี่เฉียนค่อย ๆ สงบลง จ้องมองฉินเฟิง
เขารู้ดีว่าตัวเองจบสิ้นแล้ว และเหมือนจะได้รับอิทธิพลจากคำพูดที่ว่า ‘คนกำลังจะตาย ก็พูดถ้อยคำดี ๆ ได้เช่นกัน*[1]’
สายตาที่มองฉินเฟิงไม่มีความเกลียดชังอีกต่อไป มีเพียงความรู้สึกซาบซึ้ง
หลังครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง หลี่เฉียนก็รู้สึกตัว
การแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทคราวนี้ เดิมทีเขามีข้อได้เปรียบทุกประการ หากไม่ใช่เพราะหวาดระแวงฉินเฟิง จนทำให้ฉินเฟิงที่เป็นคนกลางกลายเป็นศัตรู เขาก็คงไม่ต้องมานั่งอ้างว้างเดียวดายเช่นนี้
แต่ถึงจะเข้าใจแล้ว จะมีประโยชน์อันใดอีก
…
หลี่เฉียนถูกทหารคุมตัวไปยังสำนักขุนนางฝ่ายใน หลักฐานมัดตัวแน่น โทษของการใส่ร้ายคนบริสุทธิ์อย่างร้ายแรง แม้จะเป็นถึงองค์ชายก็หนีไม่พ้นโทษประหารชีวิต ชีวิตที่เหลืออยู่ก็จะถูกกักบริเวณอยู่ในสำนักขุนนางฝ่ายใน หมดโอกาสผงาดขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ที่แอบดูเหตุการณ์อยู่ที่ห้องด้านข้าง ทนไม่ไหวอีกต่อไป เปิดประตู พรวดพราดเข้ามากอดเซี่ยปี้ไว้แน่น
“ท่านพ่อ ดีจริง ๆ ที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี”
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์สูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเด็ก เซี่ยปี้คือทุกสิ่งทุกอย่างของนาง
บัดนี้บิดาพ้นผิดแล้ว เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์จะไม่ดีใจได้อย่างไร
เซี่ยปี้ลูบศีรษะเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ ดวงตาเต็มไปด้วยความเอ็นดูและความปลื้มปิติ แม้ชีวิตนี้เขาจะไม่มีบุตรชาย แต่การมีบุตรสาวเช่นนี้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น บุตรสาวยังเลือกคนที่ถูกต้อง
เจ้าเด็กฉินเฟิง แม้จะทำอะไรตามอำเภอใจไปสักหน่อย ชอบทำอะไรแผลง ๆ ไปบ้าง แต่ก็เป็นคนจริงใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวและสหาย เขาทุ่มเทหัวใจให้เต็มที่
ลูกเขยก็เหมือนลูกชายครึ่งหนึ่ง สำหรับเซี่ยปี้ เขาถือว่าตัวเองมีครบทั้งลูกชายลูกสาวแล้ว
แม้จะผ่านความเป็นความตายมา แต่ในสายตาของเซี่ยปี้กลับไม่ใช่เรื่องร้าย เรียกว่าเป็นทุกขลาภก็ได้
เพราะลำบาก จึงได้เห็นว่าใครที่จริงใจ
เซี่ยปี้ปลอบโยนเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ จนนางร้องไห้พอใจ เช็ดน้ำตา แล้วหันมองฉินเฟิง เอ่ยเสียงหวานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ฉินเฟิง ต้องขอบคุณเจ้ามาก”
ฉินเฟิงเบิกตากว้าง “ขอบคุณอะไรกัน คนกันเองทั้งนั้น เจ้าพูดห่างเหินไปแล้ว”
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ได้ยินแบบนี้ แก้มแดงปลั่งขึ้นมา พยักหน้าหงึก ๆ ยามนี้ นางมีฉินเฟิงอยู่เต็มหัวใจแล้ว
ฉินเฟิงเกาหัวแกรก ๆ หันไปมองหลี่ยงกับไท่ฟู่โจว
เขารู้ดีแก่ใจ อีกไม่ช้าไม่นาน นายบ่าวคู่นี้ต้องกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาอย่างแน่นอน นับเป็นอุปสรรคใหญ่ยิ่งกว่าไท่เป่ากับหลี่เฉียนเสียอีก
แต่ก่อนที่เรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น ฉินเฟิงก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับพวกเขา จึงรีบประจบประแจงว่า “ถ้าจะขอบคุณจริง ๆ ก็ควรขอบคุณองค์ชายเจ็ดกับท่านราชครู”
“หากปราศจากหลักฐานขององค์ชายเจ็ด การจะล้างมลทินท่านลุงเซี่ยให้พ้นผิด คงไม่ใช่เรื่องง่าย”
“อีกทั่งเพราะราชครูเร่งมาได้ทันเวลา กดดันไท่เป่าหลิน จึงสามารถโค่นล้มคนทั้งสองลงได้อย่างราบคาบ”
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์เชื่อฟังคำแนะนำของฉินเฟิง ก้มคารวะหลี่ยงกับไท่ฝู่อย่างว่าง่าย
“เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ ขอบคุณองค์ชายเจ็ด ขอบคุณท่านราชครู”
“ทั้งสองท่านเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเซี่ย”
หลี่ยงทิ้งท่าทีเจ้าเล่ห์เพทุบาย ยิ้มแย้มแจ่มใส ดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่จำเป็น ๆ ข้าแค่ไม่อยากเห็นคนดีถูกใส่ร้ายเท่านั้น”
“หนิงกั๋วกงก็เป็นเสาหลักของแคว้นต้าเหลียง เคยสร้างคุณงามความดีให้กับแคว้นต้าเหลียงมามากมาย ข้าในฐานะองค์ชาย ย่อมต้องปกป้องขุนนางผู้ภักดี”
“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าควรทำ”
ไท่ฟู่ยืนกอดอก ท่าทางไม่ยินดียินร้าย กล่าวว่า “ข้ากับหนิงกั๋วกงเป็นสหายเก่าแก่ ทั้งทางคุณธรรมและเหตุผล ข้าย่อมไม่นิ่งดูดาย”
เห็นหลี่ยงกับไท่ฟู่มีคุณธรรม เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ยิ่งซาบซึ้งในบุญคุณ
ราชครูโจวยิ้มรับ ก่อนจะหันไปมองฉินเฟิง
มองจากบนลงล่าง มองจากในออกนอก จ้องมองอย่างพิจารณา จนฉินเฟิงรู้สึกขนลุก
“ท่านราชครู ท่านอย่ามองข้าเช่นนี้ ข้าใจคอไม่ค่อยดีเลย”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ