บทที่ 622 พี่หญิงรองกลับมาแล้ว
บุรุษซับซ้อนนัก คำว่ารักก็เป็นเพียงลมปาก คนโกหก
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลิ่วหงเหยียนมาอย่างครบถ้วน เรื่องจัดการฉินเฟิงง่ายดายนัก
“ต่อไปเจ้าอย่าได้ไปทะเลสาบแสงจันทร์บ่อยนัก”
“หากข้ารู้ อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีเจ้า!”
“นี่เป็นข้อความจากพี่หญิงรองด้วย หากเจ้าไม่พอใจ ก็ไปประท้วงกับพี่หญฺงรองเอาเอง”
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์บิดหูฉินเฟิงด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างเท้าเอว ท่าทางราวกับภรรยาจอมบงการ
ตอนนี้ฉินเฟิงเหมือนเห็นเงาของหลิ่วหงเหยียนจากตัวของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ทีเดียว
เห็นได้ชัดว่า หลิ่วหงเหยียนไม่ได้สอนหลักการดูแลสามีอย่างที่ควรให้เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์
ฉินเฟิงกุมหู ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนัก
พี่หญิงรองช่างใจร้ายจริง ไม่สอนอะไรดี ๆ บ้างเลยหรือ?
โชคดีที่ไม่มีคนนอกอยู่ ไม่อย่างนั้นหากเรื่องนี้แพร่ออกไป เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องตลกหลังอาหารเย็นของชาวบ้านทั่วเมืองหลวง
ทุกคนจะคิดว่าเขากลัวภรรยา ถึงตอนนั้นเขาจะยังเชิดหน้าชูคออยู่ได้ยังไง?
เซี่ยปี้ที่อยู่ด้านข้างไม่เพียงไม่มีท่าทีจะช่วยพูดแก้ต่างให้ฉินเฟิง กลับกอดอก เงยหน้าขึ้นสูง ส่งสายตาเย่อหยิ่ง
ท่าทีพึงพอใจที่เห็นฉินเฟิงถูกเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ข่มเหง
คนแบบไหนกัน!
“เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ อย่าเอาพี่หญิงรองมาข่มขู่ข้า พี่หญิงรองไม่ได้อยู่เมืองหลวงสักหน่อย”
นายน้อยฉินตะโกนลั่น มั่นใจว่าหลิ่วหงเหยียนอยู่ไกลนัก ไม่อาจควบคุมเขาได้
ภรรยาต้องเชื่อฟังสามี เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ต้องยอมสยบต่อเขา!
ฉินเฟิงก็อยากจะเป็นเสาหลักของครอบครัว อยากลิ้มรสความรู้สึกของการเป็นผู้นำบ้าง
แต่พอกล่าวจบ ฉินเฟิงก็เสียใจทันที
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์หัวเราะเยาะ “ใครว่าพี่หญิงรองไม่อยู่?”
“เจ้าดูสิ!”
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ชี้มือไปที่ห้องโถงด้านข้าง
ประตูห้องค่อย ๆ เปิดออก แล้วร่างคุ้นเคยปรากฏขึ้นต่อหน้าฉินเฟิง
ฉินเฟิงที่เมื่อครู่ยังดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ พลันเรียบร้อยขึ้นมา
หลิ่วหงเหยียนใบหน้าเปื้อนยิ้ม เดินจากห้องโถง ท่าทางสง่างาม มาหยุดอยู่ตรงหน้าฉินเฟิง
หลิ่วหงเหยียนมองฉินเฟิง แววตาอ่อนโยนและห่วงใย เอื้อมมือลูบหัวฉินเฟิงอย่างอ่อนหวาน “เฟิงเอ๋อร์ เจ้าเก่งมาก”
“เห็นเจ้าเป็นแบบนี้ ทำให้ข้านึกถึงคำพูดหนึ่ง…” หลิ่วหงเหยียนยอ้มจนตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว
“พอบนภูเขาไร้เสือ ลิงน้อยก็ตั้งตนเป็นใหญ่*[1]”
“หากเมื่อครู่ข้าไม่ได้ยินไม่ผิด เจ้ากำลังข่มขู่อวิ๋นเอ๋อร์อยู่กระมัง?”
สัมผัสได้ถึงสายตาอ่อนโยนที่แฝงไว้ด้วยความอันตรายของหลิ่วหงเหยียน นายน้อยฉินเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง รีบบังคับใบหน้าที่น่าเกลียดกว่าร้องไห้ให้แย้มยิ้ม
“ไม่มีทาง พี่หญิงรอง ท่านอย่าใส่ร้ายข้าแบบนี้สิ”
“อวิ๋นเอ๋อร์เป็นศิษย์ที่ท่านสอนสั่งมากับมือ เผชิญหน้ากับอวิ๋นเอ๋อร์ก็เหมือนกับการเผชิญหน้ากับท่าน”
“หากอวิ๋นเอ๋อร์สั่งให้ข้าไปทางตะวันออก ข้าย่อมไม่กล้าไปทางตะวันตก”
กล่าวจบ ฉินเฟิงก็มองเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ด้วยสายตาเว้าวอน “ไม่จริงหรืออวิ๋นเอ๋อร์?”
ฉินเฟิงส่งสายตาเป็นนัย ให้เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ช่วยพูดแก้ต่างให้ มิฉะนั้นหูของเขาคงไม่รอดแน่
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์เดิมทีก็ลำพองอยู่แล้ว บัดนี้มีหลิ่วหงเหยียนหนุนหลัง นางเชิดหน้าชูคอ นางปล่อยมือจากหูของฉินเฟิง ยื่นนิ้วไปจิ้มที่อกเขาเบา ๆ พลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “จริงหรือ? เจ้าเชื่อฟังข้าขนาดนั้นเชียว?”
ฉินเฟิงตบหน้าอกรับประกัน ท่าทางจริงจัง “แน่นอน!”
“ความภักดีของข้าที่มีต่ออวิ๋นเอ๋อร์ฟ้าดินเป็นพยาน แม้ทะเลแห้งหินแตกระแหงก็ไม่อาจสั่นคลอน”
เห็นท่าทางของฉินเฟิง เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก็อดหัวเราะไม่ได้
นางกลอกตา แล้วมองฉินเฟิง ยังคงมีร่องรอยึวามโกรธในแววตาอยู่บ้าง “ฮึ่ม! ข้าจะเชื่อเจ้าอีกสักครั้งก็แล้วกัน”
ฉินเฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก มองหลิ่วหงเหยียนอย่างหวาดกลัว ท่าทีใหญ่โตโอหังที่ทำให้เมืองหลวงปั่นป่วน ไม่มีวี่แววให้เห็น

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ