บทที่ 632 ดาบจ่อบัลลังก์
“พวกเราเป็นพี่น้อง ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน เหตุใดข้าจะไม่เชื่อใจเจ้า”
ระหว่างพี่น้อง ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ
เจิ่งฉู่รับรู้ถึงความไว้ใจอย่างไม่มีเงื่อนไขของฉินเฟิง เขาซาบซึ้งใจนัก คุกเข่าคำนับฉินเฟิง
“ข้าน้อยจะทุ่มเท ฟื้นฟูกองทหารองครักษ์ค่ายเทียนจีขึ้นมาอีกครั้งขอรับ!”
ฉินเฟิงตบบ่าเจิ่งฉู่ “ลำบากเจ้าแล้ว!”
“ยามค่ายเทียนจีรุ่งเรือง มีคนมากที่สุดก็แค่สามร้อยคน”
“ตอนนี้เหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ”
“กำหนดจำนวนไว้ที่สามร้อยคนเช่นเดิมก่อน ยังไม่จำเป็นต้องขยายกองกำลังมากไปกว่านี้”
“ยามนี้ฮ่องเต้ต้าเหลียงหวาดระแวง เราไม่กระตุ้นให้เป็นจุดสนใจ”
“อีกทั้งองครักษ์ค่ายเทียนจี แต่ไหนแต่ไรก็เน้นคุณภาพมิใช่จำนวน”
“หากมีมากเกินไป ประสิทธิภาพการฝึกฝนก็จะลดลง”
องครักษ์ค่ายเทียนจีคือดาบต่อสู้ที่คมที่สุดข้างกายฉินเฟิง
ลับดาบสิบปี ดื่มเลือดหนึ่งวัน
หากไม่ถึงยามจำเป็น ย่อมไม่ใช้ง่าย ๆ แต่เมื่อใดที่ได้ใช้ ก็จะต้องทำให้ศัตรูหวดกลัวจนถึงที่สุด
แต่
หลังการต่อสู้ที่ลานประหาร นายน้อยฉินตระหนักถึงข้อบกพร่องขององครักษ์ค่ายเทียนจี
ถ้าไม่ได้เตรียมการรับมือไว้ก่อน เป็นการปะทะที่ไม่ได้คาดคิด องครักษ์ค่ายเทียนจีก็ยากจะต้านทานองครักษ์หลวง
เขาเห็นมากับตา
แม้องครักษ์หลวงจะถูกโจมตีกะทันหัน พวกเขาก็ยังรวมกำลังตั้งรับและโต้กลับได้ทันท่วงที
ทำให้ทหารองครักษ์ค่ายเทียนจีและทหารเป่ยซีบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
ส่วนที่องครักษ์หลวงพ่ายแพ้ก็ด้วยสองเหตุผล
ข้อแรก ยุทธภัณฑ์ พวกเขาไม่ได้เตรียมอาวุธต่อสู้ระยะประชิดหรืออาวุธเจาะเกราะไว้
ข้อสอง จำนวนพล จำนวนพลของพวกเขาน้อยกว่า ถ้าไม่ได้อาศัยชัยภูมิที่ได้เปรียบ แม้จะเก่งกล้าเพียงใด ก็ยากที่จะรอดพ้นจากความตาย
“เจิ่งฉู่ เจ้าจงจำเรื่องนี้ไว้ให้ดี”
“ในสามร้อยคนนี้ จำต้องมีหนึ่งร้อยคนเชี่ยวชาญการล่าสังหารองครักษ์หลวง”
“ความแข็งแกร่งของกองกำลังทหารประจำการณ์เมืองหลวงไม่อาจรู้แน่ ข้าเชื่อว่า เหล่าทหารรักษาพระราชวังและองครักษ์หลวงที่ลานประหารในวันนั้น ยังไม่ใช่ยอดฝีมือ”
“พวกมีฝีมือร้ายกาจย่อมต้องอยู่ในพระราชวังต้องห้าม”
เจิ่งฉู่เห็นพ้องกับฉินเฟิง
เขาเองก็เคยประมือกับองครักษ์หลวง จะไม่รู้ได้อย่างไร
พอครุ่นคิดทบทวนดูแล้ว ก็อดหวั่นเกรงไม่ได้
“พวกเขาล้วนฝีมือร้ายกาจ”
“ไม่ว่าจะสวมชุดเกราะ หรือถอดชุดเกราะ ก็ไม่ใช่ครู่ต่อสู้ขององครักษ์หลวง”
“หากไม่ฝึกฝนให้หนัก ครั้งหน้าต้องเผชิญหน้ากับองครักษ์หลวงอีก ก็คงเป็นศึกหนัก”
ฉินเฟิงไม่ได้คิดก่อกบฏ
เพียงแต่เตรียมพร้อมไว้เท่านั้น
หากหมายมั่นจะปักหลักในเมืองหลวง แค่เตรียมการอย่างสองอย่างไม่เพียงพอ จำต้องมองการณ์ไกล และเตรียมตัวไว้สักเจ็ดแปดอย่าง
ชเจิ่งฉู่พาองครักษ์ค่ายเทียนจีที่เหลืออยู่ถอยทัพ กลับไปประจำการณ์ค่ายเทียนจี
รอจนกว่าจะรวบรวมกำลังพลได้ครบ ค่อยย้ายกำลังพลบางส่วนมายังหมิ่งเยว่ไจ
ฉินเฟิงหันมองจ้าวอวี้หลง
“พี่อวี้หลง เมื่อเทียบกับองครักษ์ค่ายเทียนจี บรรดากองกำลังต่าง ๆ ในเมืองหลวงล้วนเกรงขามกองทหารม้าทมิฬใต้บัญชาของเจ้ามากกว่า”
“เพราะทหารม้าหุ้มเกราะเหล่านี้ผ่านสมรภูมิรบมานับไม่ถ้วน ภายภาคหน้า ไม่ว่าจะเผชิญอันตรายใด พวกเขาคือกำลังที่ไว้ใจได้มากที่สุดในการคุ้มกันพวกเราออกจากเมืองหลวง”
“ให้กองทหารม้าทมิฬประจำการอยู่ที่ค่ายเทียนจีทั้งหมด”
จ้าวอวี้หลงรับคำ ก่อนจะถามขึ้น “แล้วที่นี่เล่า จะทำเช่นไร?”
“ทหารหาญล้วนอยู่นอกเมือง หากเกิดเรื่องไม่คาดฝัน…”
จ้าวอวี้หลงยังพูดจบ ฉินเฟิงก็ยกมือขัดเสียก่อน ใบหน้าเรียบเฉย ไร้กังวล
“ให้ทหารเป่ยซีสองร้อยคน ประจำการณ์ที่หมิ่งเยว่ไจ”
“อีกหนึ่งร้อยคนให้อยู่ที่จวนตระกูลฉินของข้า”
“เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
“หากพวกเรามีทหารมากเกินไป ไม่กี่วัน ทหารรักษาพระราชวังและองครักษ์หลวงคงมาเยี่ยมเราถึงบ้าน”
“ถึงตอนนั้น จะเป็นเรื่องยุ่งยาก”



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ