บทที่ 634 หลินเวินหว่านผู้แข็งแกร่ง
ฉินเฟิงบอกกับองครักษ์เสื้อแพรให้ไปแจ้งข่าวร้านธัญพืชตระกูลฉิน
ให้พวกเขาพยายามต่อไปอีกหน่อย แม้จะยากลำบาก ก็ห้ามปิดร้านเด็ดขาด
รอให้จัดการเรื่องทางนี้เสร็จแล้ว ฉินเฟิงจะไปที่ร้านธัญพืชด้วยตัวเอง
ตอนนี้ จำเป็นต้องอยู่ที่เมืองหลวงก่อน
ตระกูลหลินมาถึงทางตันแล้ว เขาย่อมต้องอยู่ส่งเป็นครั้งสุดท้าย
…
พระราชวังต้องห้าม ห้องทรงพระอักษร
องค์ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงตรวจตราฎีกาอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน
เดิมทีจะเสด็จออกว่าราชการวันละสามเวลา ไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียว แต่ตอนนี้ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกลับเริ่มงดออกว่าราชการ
ไม่ใช่แค่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเท่านั้นที่ไม่คุ้นเคย ทั้งเสนาบดีฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ก็ไม่ชินเช่นกัน
เรื่องนี้สามารถเห็นได้จากจำนวนฎีกา
เดิมทีฎีกาส่วนใหญ่จะถูกส่งมาจากท้องถิ่น
เหล่าหัวเมืองชายแดนที่อยู่ห่างไกล เดินทางเข้าเมืองหลวงไม่สะดวก
หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกำชับให้ดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งมักอยู่ในพื้นที่ห่างไกล
แม้ทุกวันจะมีฎีกาฉบับใหม่ส่งเข้ามา แต่มากที่สุดก็เพียงไม่กี่สิบฉบับเท่านั้น
แต่ช่วงหลายวันมานี้ ขุนนางในเมืองหลวงต่างเริ่มยื่นฎีกา จำนวนฎีกาต่อวันทะลุร้อยฉบับไปแล้ว
และเนื้อหาในฎีกาแทบทั้งหมด ล้วนเป็นเกี่ยวกับ ‘การแต่งตั้งมหาเสนาและไท่เป่า’
ตอนนี้ตำแหน่งขุนนางใหญ่ทั้งสาม ว่างถึงสองตำแหน่ง
เหลือเพียงราชครูคนเดียวเท่านั้น
เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ต้าเหลียง
ตำแหน่งมหาเสนา ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจะกำไว้ให้แน่น หากไม่ถึงคราวคับขัน ย่อมไม่มีทางแต่งตั้งใคร
ทว่าตำแหน่งไท่เป่ารั้งรอไม่ได้
คณะทูตเป่ยตี๋ใกล้เข้าเมืองหลวงแล้ว ตำแหน่งขุนนางใหญ่เหลือเพียงตำแหน่งเดียว ย่อมต้องถูกคณะทูตเป่ยตี๋จับสังเกต
ถึงตอนนั้น เรื่องการเจรจาสงบศึก ย่อมมีปัญหา
แต่พอคิดจะแต่งตั้งไท่เป่า ฮ่องเต้ต้าเหลียงก็หวั่นพระทัยทุกที
พลพรรคเถาหลินกลายเป็นพรรคใหญ่ในเมืองหลวงไปแล้ว เห็นเป็นรองก็แต่ฝ่ายฮ่องเต้เล็กน้อย
พลพรรคเถาหลินย่อมสนับสนุนฉินเทียนหู่ให้ได้ครองตำแหน่งไท่เป่าอย่างไม่ต้องสงสัย
แล้วอำนาจของตระกูลฉินก็จะทวีคูณ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไม่อาจตัดสินใจได้ จมอยู่กับวังวนแห่งความลำบากใจ
ตอนนั้นเอง องครักษ์ชุดดำปรากฏตัวขึ้น
ทันทีที่ทอดพระเนตรเห็นองครักษ์ชุดดำ พระทัยของฮ่องเต้ต้าเหลียงก็พลันหนักอึ้ง
“เป็นเรื่องของกุ้ยเฟยกระมัง?”
องครักษ์ชุดดำคุกเข่าลง “ฝ่าบาททรงปราดเปรื่องยิ่ง”
“ยามนี้กุ้ยเฟยอยู่ที่ศาลต้าหลี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ นางเยี่ยมผู้ต้องหานามเกินกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว แม้ผู้คุ้มจะพยายามทัดทาน แต่นางก็หาได้ยอมกลับ”
ได้ยินแบบนี้ สีพระพักตร์ของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงพลันซีดเผือด
พระองค์หลับพระเนตรลงอย่างเชื่องช้า ทรงถอนหายใจเข้าลึก
ราวกับว่าในชั่วพริบตา ริ้วรอยแห่งวัยปรากฏขึ้นมาก
ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮ่องเต้ต้าเหลียงหยิบราชโองการที่เตรียมไว้เนิ่นนานออกมา แล้วโยนให้องครักษ์ชุดดำ
“เมื่อกุ้ยเฟยตัดสินใจแน่วแน่ แม้เจิ้นจะรั้งนางไว้ก็มิอาจรั้งได้”
“ใจนางไม่ได้อยู่ที่เจิ้นแล้ว”
ครั้นเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมา สีหน้าของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็แฝงไว้ด้วยความขมขื่น
ราวกับได้ลิ้มรสชาติของการถูกทรยศหักหลังเสียแล้ว
…
ขบวนรถม้าขนาดกลาง ประกอบด้วยรถม้าสี่คันและองครักษ์ห้าสิบคน ค่อย ๆ ออกจากประตูเมืองหลวง
ภายในรถม้า กุ้ยเฟยเปลี่ยนชุดหรูหรา มาสวมชุดเรียบง่าย แต่นางก็ยังสง่า
บนศีรษะเปลี่ยนเป็นปิ่นหยกธรรมดา
ตอนนี้นางไม่ใช่กุ้ยเฟยแห่งต้าเหลียงอีกแล้ว
กลับสู่ตำแหน่ง คุณหนูตระกูลหลิน นามว่าหลินเวินหว่านอีกครั้ง
สาวใช้ข้างกายเหลียวมองเมืองหลวง แววตาอาลัยอาวรณ์
เมืองแห่งนี้ บางคนปรารถนาจะเข้ามา แต่สำหรับบางคนกลับอยากหนี และสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ เมืองแห่งนี้ คือที่ที่พวกเขาปรารถนาจะอยู่
“ฝ่าบาท… ”
สาวใช้กำลังจะเอ่ยคำรำพัน ก็ถูกหลินเวินหว่านขัดเสียก่อน
“ข้าไม่ใช่กุ้ยเฟยอีกต่อไปแล้ว!”
“เกียรติยศนานัปการในวันวาน ล้วนแต่หายไปดั่งภาพลวงตา”
“นับจากนี้เป็นต้นไป ใต้หล้านี้ไม่มีกุ้ยเฟยแห่งแคว้นต้าเหลียงอีก มีเพียงแค่หลินเวินหว่าน คุณหนูตระกูลหลินเท่านั้น”
แทบจะทันทีที่นางกล่าวจบ


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ