บทที่ 635 รู้หน้าไม่รู้ใจ
พอได้ยินว่า หลินเวินหว่านกำลังต่อสู้อยู่นอกเมืองหลวง จิตใจของฉินเฟิงก็พลันครุ่นคิดไปต่างๆ นานา
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนล้วนอยากออกจากเมืองหลวง แต่มีน้อยคนนักจะทำสำเร็จ
ผู้ที่จากไปอย่างยิ่งใหญ่ได้ หลินเวินหว่านนับเป็นคนแรก
สมกับที่ผู้คนต่างยกย่องว่าเป็นหนึ่งใต้หล้า นอกเหนือจากผู้ที่เก็บตัวฝึกฝน
แต่เกรงว่าต่อให้เป็นยอดฝีมือที่หลบเร้นอยู่บนยอด หากคิดจะปราบหลินเวินหว่านก็ยังต้องออกแรงอยู่ไม่น้อย
อัจฉริยะที่ใต้หล้าต้องหวั่นเกรงเช่นนี้เต็มใจเก็นตัวอยู่ในพระราชวังมานานกว่าสิบปี
ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ
หนิงหู่เดินขึ้นมาบนหอคอยสังเกตการณ์ มองไปในทิศทางที่หลินว่านหว่านอยู่
“พี่ฉิน คุณหนูรองให้ข้ามาบอกเจ้า”
“ประการแรก หากตัดสินใจไม่เด็ดขาด จะต้องพบหายนะ”
“ประการที่สอง ปล่อยเสือคืนป่า ไม่ต่างจากทำร้ายตัวเอง”
ฉินเฟิงพยักหน้า รับรู้ถึงความหมายของหลิ่วหงเหยียนเป็นอย่างดี
หากปล่อยให้หลินเวินหว่านกลับเจียงหนานได้ ย่อมนำภัยมาสู่ฉินเฟิง และทั้งแคว้นต้าเหลียงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
ไม่เพียงวิทยายุทธ์เลิศล้ำ แต่สติปัญญาและกลศึกของนางก็ยากจะหาผู้ใดเทียบ
“หากอาศัยกระแสแห่งราตรีนี้ กำจัดนางเสีย ย่อมป้องกันตระกูลหลินไม่ให้ผงาดเป็นเสือติดปีกได้”
ครั้นเห็นว่าฉินเฟิงยังคงนิ่งเงียบ หนิงหู่ก็ถามขึ้น “พี่ฉิน เหตุใดเจ้ายังคงลังเลอยู่อีก”
“ถึงหลินเวินหว่านจะเก่งกาจ แต่นางก็เป็นเพียงสตรีตัวคนเดียว”
“เพียงแค่ส่งกองทหารม้าทมิฬออกไป พริบตาเดียวก็เหยียบย่ำนางได้แล้ว”
นายน้อยฉินยังคงครุ่นคิดหนัก
ไม่ใช่เพราะหลินเวินหว่าน แต่เป็นเพราะคนที่ส่งมือสังหารมาต่างหาก
ตัวตนคนผู้นั้น แท้จริงแล้วคือใครกัน?
การลอบสังหารหลินเวินหว่านคืนนี้ แม้จะดูสมเหตุสมผล แต่แท้จริงแล้วกลับมีจุดผิดสังเกตอยู่ไม่น้อย
สถานที่ที่หลินเวินหว่านถูกจู่โจม ไม่ได้อยู่ไกลจากเมืองหลวง
เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ อย่าว่าแต่องครักษ์ชุดดำ แม้แต่กองกำลังทหารต่าง ๆ เกรงว่าคงจะรับรู้การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่นี้แล้ว
การส่งมือสังหารออกมา จุดประสงค์ก็เพื่อปิดบังผู้คน ไม่ให้ใครล่วงรู้ แต่บัดนี้กลับรู้กันทั่วแล้ว
ผู้บงการเบื้องหลังย่อมไม่อาจก่อความผิดพลาดโง่งมแบบนี้แน่
อีกอย่าง หลินเหวินหว่านไม่ใช่กุ้ยเฟยอีกต่อไปแล้ว
แม้จะสังหารนางไป แล้วจะเกิดผลอันใด
สมควรส่งทหารรักษาพระราชวัง หรือองครักษ์หลวงมาจัดการ
ไม่ใช่พวกสวมชุดเหมือนพลเรือน แต่แท้จริงแล้วมีความเสี่ยง
แววตาชาญฉลาดของฉินเฟิงเหลือบมองหนิงหู่
“ผู้ที่กล้าเป็นศัตรูกับหลินเวินหว่าน ย่อมต้องเป็นผู้มีอำนาจล้นฟ้า”
“พี่หนิง แม้แต่ท่านก็รู้ดี การกำจัดหลินเวินหว่านจำต้องส่งกองทหารม้าทมิฬ ”
“เช่นนั้นเบื้องหลังมือสังหาร ผู้บงการเรื่องนี้ไหนเลยจะไม่รู้”
ได้ยินแบบนี้ หนิงหู่ก็พลันนิ่งอึ้งไป
“เช่นนั้น เจ้าหมายความว่า เรื่องนี้มีเงื่อนงำ?”
ฉินเฟิงพยักหน้ารับ เอามือไพล่หลัง มองฟ้ายามราตรี เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ผู้บงการเบื้องหลังคงหวังจะเค้นเอาคุณค่าสุดท้ายของหลินเวินหว่านออกมา คิดยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว”
“ความแค้นของตระกูลฉินกับตระกูลหลินหยั่งลึก ไม่มีผู้ใดไม่รู้”
“ไม่ว่าเหตุผลใดตระกูลฉินย่อมสมควรส่งคนไปสังหารหลินเหวินหว่าน”
“ยิ่งตอนนี้มีมือสังหารเปิดฉากก่อน ยิ่งเป็นเหตุผลอันดีให้ข้าได้ ‘ยืมมือฆ่าคน'”
กล่าวถึงตรงนี้ ฉินเฟิงถอนหายใจ “ในใจฝ่าบาทยังทรงรักหลินเหวินหว่าน หาไม่แล้วคงไม่ปล่อยนางไป”
“เพียงแค่ข้าสังหารหลินเหวินหว่านได้ ข้ากับฝ่าบาทก็จะผูกพันด้วยเรื่องบาดหมางส่วนตัว”
“เมื่อถึงเวลานั้น ฝ่าบาทจะไม่เผชิญหน้าข้าในฐานะฮ่องเต้ต้าเหลียงอีกต่อไป หากแต่เป็นชายเสียสติที่สูญสิ้นสตรีอันเป็นที่รัก!”
พอได้ยินคำพูดของฉินเฟิง หนิงหู่ตาสว่าง
แผ่นหลังเย็นยะเยือก
“น้ำในเมืองหลวงนี้ช่างลึกเกินไป!”
ฉินเฟิงคิดว่าตัวเองอยู่ในเมืองหลวงก็เหมือนปลาได้น้ำ
แต่ความจริงกลับพิสูจน์ให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ผลประโยชน์ที่เขาได้เห็น เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
“ยังมีสิ่งที่เจ้าคาดไม่ถึงอีกมาก สิ่งเหล่านั้นล้วนแอบซ่อนอยู่ในเงามืด คอยจ้องหาโอกาสเคลื่อนไหว”
“ออกคำสั่ง ค่ายเทียนจีห้ามเคลื่อนไหวเด็ดขาด”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ