บทที่ 642 ไม่เพียงไม่ลงโทษ ซ้ำยังให้รางวัล
ลิ่นจื่ออี๋ไม่เคยคาดคิดและไม่เคยแม้แต่จะฝันว่านายน้อยฉินผู้มีชื่อเสียงและสร้างความปั่นป่วนไปทั่ว จะอ่อนน้อมและให้เกียรตินางเพียงนี้
ความตึงเครียดค่อย ๆ คลายลง
พวงแก้มนวลผุดริ้วแดงระเรื่อ
ไม่รู้ว่าเพราะฉินเฟิงมาช่วยเหลือได้ทัน นางจึงปลื้มปิติ หรือเป็นเพราะต้องเจอกับผู้สร้างคุณความดีและมีชื่อเสียงไปทั่วหล้า นางจึงเขินอาย
“ตอบนายน้อย ข้าไม่เคยร่ำเรียนที่ไหนเจ้าค่ะ”
“เพียงแต่ข้าติดตามท่านพ่อมาตั้งแต่เด็ก ได้เห็นได้ยินสิ่งที่ท่านทำอยู่เสมอ”
“พูดตามตรง ข้าเป็นเพียงคนไร้ความสามารถเท่านั้น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาของลิ่นจื่ออี๋ก็แสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกผิดอย่างชัดเจนแค่ไหน นางมองฉินเฟิงด้วยความกลัว
“นายน้อย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้าไร้ความสามรถ ร้านค้าจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”
“แม้ท่านจะขับไล่พวกข้ากับบิดาออกไป ข้าก็ไม่อาจคัดค้าน”
ลิ่นจื่ออี๋เตรียมตัวเก็บข้าวของแล้ว
สถานการณ์ของร้านค้าธัญพืชตระกูลฉินในเหยียนโซ่วเป็นเช่นนี้ นางกับบิดาไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบ
ทว่า…
มือใหญ่ก็วางลงบนบ่าของลิ่นจื่ออี๋
ลิ่นจื่ออี๋สะดุ้งราวกับถูกไฟลวก ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
แล้วเสียงนุ่มทุ้มของฉินเฟิงก็ดังขึ้นข้างหู
“สาวน้อยโง่เขลา เรื่องนี้ข้าจะรับผิดชอบเอง หากจะโทษว่าเป็นความผิดของผู้ใด ก็ย้อมต้องเป็นของข้า ไหนเลยจะตำหนิเจ้ากับบิดาได้”
“พวกเจ้าเผชิญหน้ากับตระกูลจ้าว ทั้งยังถูกร้านค้าธัญพืชในอำเภอเหยียนโซ่วร่วมมือกดดัน”
“สามารถยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็นับว่าทำได้ดีมากแล้ว”
“ไม่เพียงแต่จะไม่ลงโทษ พวกข้าสมควรได้รางวัลด้วย”
“ฉินเสี่ยวฝูให้รางวัลแก่ผู้จัดการลิ่นหนึ่งพันตำลึง พร้อมยาบำรุงชั้นเลิศ นับเป็นค่าเหน็ดเหนื่อยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา”
ฉินเสี่ยวฝูรับคำ รีบล้วงเอาเงินออกจากแขนเสื้อ
ลิ่นจื่ออี๋ตกใจ นางรีบโบกมือปฏิเสธ
“ไม่ได้เจ้าค่ะ ๆ”
“นายน้อยไม่ลงโทษ พวกข้าพ่อลูกก็ขอบคุณมากแล้ว ไหนเลยจะกล้ารับรางวัลอีก”
“และแม้จะให้รางวัล แต่เงินตั้งหนึ่งพันตำลึงก็มากเกินไปเจ้าค่ะ”
“ข้ากับบิดา ทำงานทั้งปีก็ได้เพียงสองร้อยตำลึงเงิน เงินหนึ่งพันตำลึงเท่ากับเงินที่ทำงานห้าปี นี่มากเกินไปจริง ๆ เจ้าค่ะ”
ฉินเฟิงตบไหล่ลิ่นจื่ออีอย่างเบามือ
“ข้าให้ เจ้าก็รับไปเถอะ”
“นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าสมควรได้รับ”
“ร้านค้าตระกูลฉินประจำอำเภอเหยียนโซ่วอยู่ในสภาพย่ำแย่ แต่พวกเจ้าสองพ่อลูกยังยึดมั่นในหน้าที่ ความจงรักภักดีนี้ คู่ควรกับรางวัลแล้ว”
“และต่อจากนี้ร้านค้าตระกูลฉินในอำเภอเหยียนโซ่วก็รบกวนเจ้าพ่อลูกดูแลต่อไป”
“ขอเพียงพวกเจ้าทำงานให้ดี หากร้านค้าตระกูลฉินในอำเภอเหยียนโซ่วเจริญรุ่งเรืองได้ ข้าจะย้ายเจ้ากับบิดาไปประจำร้านที่เมืองหลวง”
ลิ่นจื่ออีตื้นตันจนน้ำตาซึม
ความคับข้องใจและความเหน็ดเหนื่อยในช่วงเวลาที่ผ่านช่างคุ้มค่าจริง ๆ
การได้ติดตามนายเช่นฉินเฟิง นับเป็นวาสนาของนางและบิดา
ลิ่นจื่ออี๋รับเงินมาด้วยสองมือ นางรู้สึกราวกับกำลังฝัน
พอเห็นแบบนี้ ฉินเฟิงก็เดินเข้าประตูร้านค้า แล้วกล่าวกับลิ่นจจื่ออี๋ว่า “เอาละ เราไปดูบิดาของเจ้าก่อนเถอะ”
“บิดาเจ้าเป็นเสาหลักของร้าน หากเขาล้มป่วย ย่อมเป็นเรื่องใหญ่สำหรับตระกูลฉิน”
ลิ่นจื่ออี๋ได้ยินแบบนี้ก้ยิ่งนับถือฉินเฟิง
ผู้คนในยุคนี้ล้วนแต่เห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นสำคัญ
จะหาผู้ที่เห็นอกเห็นใจบริวาร ใส่ใจความเป็นอยู่ของราษฎรเช่นฉินเฟิง หาได้ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร
เดิมทีเหล่าจ้าวหน้าที่ในร้านล้วนหมดอาลัยตายอยาก พอฉินเฟิงมา พวกเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ดวงตาของพวกเขาลุกโชน จ้องมองนายน้อยฉินไม่วางตา
ฉินเฟิงเดินไปทางหลังร้านพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “พวกเจ้าก็ล้วนเหน็ดเหนื่อยกันมากจริง ๆ”
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ