บทที่ 656 ตัดศีรษะทันที
หลู่หลีไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
เขาจ้องมองผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการด้วยสายตาเย็นชา
“ข้าคือจู้กั๋วผู้ยิ่งใหญ่ ดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นสอง เจ้าเป็นเพียงขุนนางขั้นสามกล้ามาเจรจากับข้าได้หรือ?”
จู้กั๋ว เป็นตำแหน่ง ‘ทหารทรงเกียรติ’ ของเป่ยตี๋ ผู้ที่จะได้รับพระราชทานตำแหน่งนี้ ต้องเป็นผู้มีชัยชนะยิ่งใหญ่ในสงคราม และมีอำนาจมหาศาลเท่านั้น
เป็นรองเพียงตำแหน่ง ‘ซางจู้กั๋ว’ ผู้บัญชาการอาวุโสของกองทัพ
ผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการรู้ดี การที่เป่ยตี๋ส่งหลู่หลีผู้เป็นเสาหลักของแคว้นมาเป็นผู้นำคณะทูตเจรจาสันติภาพ
นับได้ว่าเป็นการแสดงความจริงใจอย่างถึงที่สุดแล้ว
เพียงแต่ว่า…
อ๋องเอาชนะได้ง่าย แต่เด็กรับใช้ยากจะรับมือ
ใครเล่าจะคาดคิดว่า หลู่หลีจะดุดันถึงเพียงนี้
ภายในสนามรบ แม่ทัพไม่อาจทำตามคำสั่งได้ทั้งหมด และหลักการนี้ก็ใช้กับขุนนางเช่นกัน
พอหลู่หลีกลายเป็นผู้รับผิดชอบการเจรจา อำนาจในมือล้นฟ้า
ต่อให้ส่งคนไปยังเป่ยตี๋ตอนนี้ แล้วรายงานให้ฮ่องเต้เป่ยตี๋ทราบก็ไร้ความหมาย
ผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ถ้ากลืนความโกรธลงไป เขาย่อมจมน้ำลายประชาชนตาย
แต่จะเผชิญหน้าก็จะส่งผลร้ายมากกว่าดี
ขณะที่ผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการกำลังหนักใจที่ออกจากบ้านไม่ดูฤกษ์งามยามดี เสียงอื้ออึงก็ดังมาจากหมู่ประชาชน
“นายน้อยฉิน นายน้อย ท่านมาทันเวลาพอดี!”
นายน้อยฉิน… ฉินเฟิงงั้นหรือ?!
ผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีตาเป็นประกาย ราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายได้
เดิมทีตระกูลฉินก็รับหน้าที่เจรจาสันติภาพอยู่แล้ว ประกอบกับอำนาจกดข่มที่ฉินเฟิงมีต่อเป่ยตี๋ และการกระทำที่องอาจกล้าหาญ
เรื่องตอนนี้ ถ้าฉินเฟิงเป็นคนจัดการย่อมเหมาะสม
ผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการได้ยินเสียงก็รีบมองหา พอเห็นฉินเฟิ ก็รีบเร่งฝีเท้าเข้าไปต้อนรับ
“นายน้อยฉิน เจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่”
ฉินเฟิงยืนอยู่ในกลุ่มราษฎร เขามองดูอยู่นานแล้ว
เหตุผลที่ยังเงียบมาตลอด เพราะกำลังรอให้ผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการแข็งข้อ ตอบโต้เป่ยตี๋
แต่สุดท้ายก็ผิดหวัง
สายตาชาวบ้านที่จับจ้องมาเต็มไปด้วยความร้อนแรง
ฉินเฟิงมองใบหน้าของผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการที่จนตรอกอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็ถอนหายใจออกมา
“ท่านผู้ช่วยเสนาบดี คนอื่นมารังแกเราถึงที่ แต่ท่านไม่กล้าแม้แต่จะผายลม ไม่ห่วงศักดิ์ศรีบ้างหรือ”
ได้ยินคำพูดนี้ หัวใจของผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการกระตุกวูบ
แม้จะอึดอัดใจและยุติธรรม แต่ความรู้สึกที่มีมากกว่าคือ ความรู้สึกผิดและไม่มั่นใจ
เขาไม่กล้าส่งเสียงใด ๆ
ฉินเฟิงไม่อยากเสียเวลากับผู้ช่วยเสนาบดีอีก
เขาก้าวเดินไปยืนข้างกายบัณฑิตชุดขาว
คุกเข่าตรวจดูอาการของเจ้า
พอแน่ใจว่าบัณฑิตผู้นี้ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฉินเฟิงตบไหล่บัณฑิตชุดขาวเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านปกป้องเกียรติของแคว้นต้าเหลียงเราไว้จริง ๆ”
“วางใจเถิด ความยุติธรรมของท่าน ข้าจะคืนให้เอง”
แม้จะมีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก แต่ดวงตาของบัณฑิตชุดขาวยังคงร้อนแรง
ข้าคว้าแขนเสื้อของฉินเฟิงไว้
“ฉิน…นายน้อยฉิน”
“อย่าว่าแต่บาดเจ็บเลย ต่อให้ต้องตาย ข้าก็ไม่กลัว?”
“เพียงแต่ข้าอ่อนแอและไร้พลัง เป็นเพียงคนต่ำต้อย ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้”
“ท่านมา นับว่าดีนัก”
“มีเพียงท่านที่สามารถควบคุมพวกป่าเถื่อนเหล่านี้ได้!”
ฉินเฟิงหัวเราะเบา ๆ แล้วเรียกชาวบ้านสองสามคนให้ช่วยดูแลบัณฑิตชุดขาว
เขาไม่สนใจคณะทูตเป่ยตี๋ที่อยู่ข้าง ๆ สักนิด
จากนั้นก็ตะโกนเสียงดัง
“ตรวจสอบว่ามีผู้บาดเจ็บทั้งหมดกี่คน และจดบันทึกอาการบาดเจ็บให้ชัดเจน”
ผู้คนในที่เกิดเหตุกำหมัดแน่น ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
พอได้ยินคำสั่งของฉินเฟิง ก็เริ่มตรวจสอบผู้บาดเจ็บ
ไม่นานก็รวบรวมข้อมูลเสร็จสิ้น
บัณฑิตชราอายุกว่าหกสิบปีเป็นตัวแทนของผู้คนเดินมาข้างหน้าฉินเฟิงด้วยความตื่นเต้น
“นายน้อยฉิน พวกป่าเถื่อนเป่ยตี๋ทำร้ายชาวบ้านในเขตเมืองหลวงของเราบาดเจ็บทั้งหมดสิบหกคน”
“ในจำนวนนั้น มีสามคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนที่เหลือล้วนบาดเจ็บเล็กน้อยขอรับ”
“ต้องขออภัย ข้ายังไม่มีเวลาได้บันทึกอาการ”
ฉินเฟิงพยักหน้ารับ แล้วขอให้ช่วยรีบไปจดบันทึก
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ