บทที่ 663 สามวันสุดท้าย
ภายในจวนพักของเมืองหลวง บรรยากาศอึดอัดมาก
เหล่าขุนนางเป่ยตี๋กว่าสิบคนเบียดเสียดกันอยู่ในห้องพัก ใบหน้าแต่ละคนซีดเซียว ไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมา
ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ เหตุการณ์ในคราวนี้นำความเสียหายมาสู่คณะทูตเป่ยตี๋อย่างใหญ่หลวง
ไม่ต้องกล่าวถึงขุนนางฝ่ายเจรจาของต้าเหลียง แม้แต่ประชาชนทั่วไป ก็ไม่มีความเกรงกลัวต่อคณะทูตเป่ยตี๋แล้ว
แม้ปรารถนาจะแข็งกร้าว ก็ไม่อาจทำได้อีกแล้ว
การเสียอำนาจไปเช่นนี้ หมายความว่า การเจรจาสันติภาพ พวกข้าล้วนตกเป็นรอง
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ความเงียบงันถึงได้ถูกเสียงตวาดต่ำของหลู่หลีทำลายลง
“ไร้เหตุผลนัก!”
“รีบส่งสารไปยังเมืองหลวง เรียกระดมกองทัพ บดขยี้แคว้นต้าเหลียง!”
“ความแค้นนี้ข้าไม่มีวันลืม ถ้าไม่ล้างแค้น ข้าจักไม่ขอเกิดเป็นคนอีก!”
หลู่หลีเป็นทหารทรงเกียรติมาทั้งชีวิต เขาไม่เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้มาก่อน
เมื่อโดนหยามถึงขนาดนี้ เขาย่อมอยากสับฉินเฟิงเป็นชิ้น ๆ
หานอวี้รีบห้ามปราม “ใต้เท้า อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลยขอรับ”
“ตอนนี้เราอยู่บนแผ่นดินต้าเหลียง มีคำกล่าวว่ามังกรจากแดนไกล ไม่อาจเอาชนะงูประจำถิ่นได้ เราต้องระมัดระวังให้มาก”
“พวกเราตายเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าทำให้สะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นขาดสะบั้น จนเกิดสงครามขึ้นมาอีก เราจะสู้หน้าราษฎรเป่ยตี้ได้อย่างไร”
แม้หลู่หลีจะเป็นคนใจร้อน แต่เขาไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่นจนไม่รู้สิ่งใดควรหรือไม่
เพียงแต่วันนี้ถูกฉินเฟิงเหยียดหยามกลางที่สาธารณะ เสียหน้าอย่างที่สุด เลยไม่อาจระงับโทสะ ตอนนี้ได้ยินหานอวี้พูดจาขี้ขลาด สีหน้าก็ยิ่งแย่ลง
หานอวี้อยู่กับหลู่หลีมาหลายปี ย่อมรู้ถึงนิสัยของหลู่หลีดี
แม้จะถูกจ้องมองด้วยสายตาไม่พอใจจากหลู่หลี หานอวี้ก็ยังวิเคราะห์สถานการณ์อย่างแน่วแน่
“คำสั่งมากมายที่ฉินเฟิงประกาศต่อหน้าผู้คนวันนี้ ไม่ใช่เพียงการขู่ขวัญแน่”
“ถ้าแคว้นต้าเหลียงฉวยโอกาสนี้ส่งทัพบุกเป่ยตี๋ ย่อมสร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่เรา”
“การไม่อดทนต่อเรื่องเล็กน้อย จะทำลายแผนการใหญ่ ยามนี้ควรให้ความสำคัญกับการเจรจาสงบศึกเป็นหลัก”
“หากต้องเลือกระหว่างสองสิ่ง ก็ควรเลือกที่เสียหายน้อยกว่า”
“ถ้าทำสงครามระหว่างแคว้นกับต้าเหลียงอีก นั่นจะเป็นการทดสอบครั้งใหญ่ต่อความอดทนของทหารและประชาชนของเรา”
“หากขึ้นโต๊ะเจรจา แม้ไม่อาจกู้คืนความสูญเสียทั้งหมดได้ อย่างน้อยก็สามารถช่วยให้เป่ยตี๋ได้มีเวลาพักฟื้น”
“ยิ่งไปกว่านั้น เรายังไม่รู้ว่าต้าเหลียงจะเรียกร้องค่าปฏิกรรมสงครามมากเพียงใด ยังมีตัวแปรที่ไม่อาจคาดเดา”
“แม้จะต้องแตกหัก เราก็ควรสืบหาจุดยืนของต้าเหลียงให้แน่ชัดเสียก่อน พอกลัยแคว้นเป่ยตี๋แล้ว ค่อยส่งกองทัพโจมตีก็ยังไม่สาย”
หานอวี้วิเคราะห์สถานการณ์อย่างถี่ถ้วน
การนิ่งเฉยดีกว่าการเคลื่อนไหว
การเร่งรีบเปิดศึกกับแคว้นต้าเหลียง ไม่ใช่การกระทำที่ดีในตอนนี้
หลู่หลีก้มหน้าครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็เห็นด้วยกับหานอวี้
เพียงแต่ตำแหน่งทหารทรงเกียรติถูกเหยียดหยัน การกล่ำกลืนความแค้นก็แสนยากเย็น
“เฉินซือไปไหน?”
พอเริ่มสงบสติได้ หลู่หลีก็เพิ่งสังเกตเห็น นับแต่ปะทะกับฉินเฟิง เฉินซือก็หายไปเลย
“เขาอ้างตัวว่าเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งเป่ยตี๋ไม่ใช่หรือ?
ทำไมตอนนี้ถึงไม่โผล่หัวโผล่หาง?
หลู่หลีโกรธนัก หานอวี้รีบลดเสียงลงกระซิบเตือน
“ใต้เท้า เฉินซือกำลังติดต่อกับฉินเฟิง”
“ในคณะทูตทั้งหมด มีเพียงเฉินซือที่พูดคุยกับฉินเฟิงได้”
“อาศัยเฉินซือสืบเสาะให้รู้ความเคลื่อนไหวของฉินเฟิงจะได้จัดการได้ถูกจุด”
ได้ฟังแบบนี้ ความโกรธในใจของหลู่หลีถึงได้บรรเทาลงบ้าง
ขุนนางชั้นผู้น้อยที่อยู่ใกล้ ๆ พลันเข้าใจ
นับแต่ข่าวเฉินซือคบค้ากับฉินเฟิงแพร่ไปในเมืองหลวงเป่ยตี๋ เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างก็โกรธนัก
ถึงกับกล่าวว่าเฉินซือเป็นกบฏทีเดียว
จนได้ยินหายอวี้พูดเช่นนี้ พวกเขาถึงได้เข้าใจว่า ที่แท้ความสัมพันธ์ของเฉินซือกับฉินเฟิงล้วนทำเพื่อบ้านเมือง
ก็ด้วยเหตุนี้ คณะทูตเป่ยตี๋จึงสามารถเจรจากับต้าเหลียง และติดต่อกับผู้นำการเจรจาของต้าเหลียงได้อย่างต่อเนื่อง

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ