บทที่ 666 ความเศร้าของแคว้นเล็ก
ระยะห่างสิบลี้ก็มีประเพณีต่างกันแล้ว ไม่แปลกที่คนละแคว้นจะมีขนบกฎเกณฑ์ที่ต่างกันมาก
แคว้นเกาชานเป็นที่ราบสูง มีพื้นที่น้อย ประชากรเบาบาง สภาพแวดล้อมค่อนข้างแห้งแล้วและโหดร้าย ประชากรเลยกระจายตัวกันไป
เมื่อเทียบกับแคว้นใหญ่แล้วค่อนข้างต่างกัน แคว้นใหญ่ ฮ่องเต้มักมีบูตรหลานหลายสิบคน
แต่แคว้นเล็กอย่างเกาชาน ในบรรดาฮ่องเต้ทุกสมัย ฮ่องเต้ที่มีบุตรมากที่สุดก็มีเพียงเจ็ดคนเท่านั้น
ยิ่งฮ่องเต้ของแคว้นเกาชานองค์ปัจจุบัน ยิ่งส่งเสริมการให้กำเนิดบุตรหลานอย่างมีคุณภาพ เขามีบุตรชายสามคน และบุตรสาวหนึ่งคน
และเนื่องด้วยแคว้นเกาชานขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค ยิ่งเป็นยารักษาโรคยิ่งหายาก
อายุขัยของผู้คนจึงไม่สูงนัก เรื่องที่เชื้อพระวงศ์สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังเยาว์มีให้เห็นบ่อยครั้ง
แท้จริงแล้ว ยุคสมัยนี้ ต่อให้มีเงินมากมาย ก็มไม่อาจซื้อ ‘ยารักษาโรค’ ได้ ต่อให้มีอำนาจล้นฟ้า ก็ไม่อาจทำการ ‘ผ่าตัด’ ได้
เชื้อพระวงศ์กับราษฎรล้วนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต่างกัน
การสืบทอดราชบัลลังก์ของแคว้นเกาชาน ปกติแล้วจะยึดถือตามราชโองการที่ฮ่องเต้แต่งตั้ง
หากไม่มีราชโองการไว้แล้วฮ่องเต่เกิดสิ้นพระชนม์ไปก่อน ถึงตอนนั้นบุตรชายผู้มีคุณูปการต่อแคว้นสูงสุดก็จะเป็นผู้สืบบัลลังก์
การเลือกผู้ปกครองแผ่นดินของแคว้นเกาชาน เน้นเลือกผู้ที่มีความสามารถหาได้มีกฎบัญญัติให้เลือกจากความอาวุโส
“องค์ชายหาน เชิญด้านในเถิด”
ฉินเฟิงรีบเชื้อเชิญหานอวี้หมิงไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อรับรอง
แคว้นเกาชาน แม้จะเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ แต่ผู้มาเยือนก็เป็นถึงองค์ชาย แม้จะไม่ยึดถือในตำแหน่งนี้ แต่ก็ยังคงเป็นบุตรชายของฮ่องเต้
อีกทั้งแคว้นเกาชานกับฉินเฟิงก็มีความสัมพันธ์ที่ดี ไหนเลยจะละเลยได้
พอหลิ่วหงเหยียนรู้ว่า องค์ชายแคว้นเกาชานมาเยือน นางก็รีบพาบ่าวไพร่ไปต้อนรับขับสู้
หานอวี้หมิงได้พบหน้าหลิ่วหงเหยียนก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง
“สวรรค์ นี่คงเป็นนางสวรรค์ที่มาเยือนโลกมนุษย์กระมัง?”
หลิ่วหงเหยียนได้ยินก็เผยแย้มยิ้มเขินอาย ก่อนจะหลบไปอยู่ด้านหลัง
หานอวี้หมิงยังคงเฝ้ามอง “ตั้งแต่ข้าเกิดมา สตรีที่เห็นในแคว้นแคว้นเกาชาน ตั้งแต่เกิดก็แข็งแกร่ง โตขึ้นก็กำยำไม่แพ้บุรุษ”
“ยามนี้ได้พบเจอสตรีแคว้นต้าเหลียง ช่างสมกับที่เติบโตในแคว้นใหญ่ อุดมสมบูรณ์ เรียกได้ว่า งามล่มเมืองจริง ๆ”
ถ้าเป็นครั้งอดีต ฉินเฟิงได้ยินคำพูดเช่นนั้น เขาคงจะทุบโต๊ะ แล้วชี้หน้าด่ากราด…
สตรีของข้า เจ้าก็กล้าหมายตาหรือ?! ช่างรนหาที่ตายจริง ๆ
แต่แววตาของหานอวี้หมิงไร้ความโลภและตัณหาของบุรุษ ฉินเฟิงจึงพอจะปล่อยผ่านได้บ้าง
เขาก็เพียงแค่เอ่ยชม
ฉินเฟิงไม่ได้โกรธแค้น เพียงรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนา “องค์ชาย เหตุใดท่านมาถึงที่นี้ด้วยตนเองหรือ?”
“แม้ฮ่องเต้เกาชานจะมีเรื่องสำคัญ แต่ก็แค่ส่งขุนนางมาก็เพียงพอแล้ว เหตุใดต้องลำบากถึงองค์ชายผู้สูงส่งเช่นนี้”
หานอวี้หมิงหันกลับมาสนใจคู่สนทนา
แม้จะไม่เคยเจอสตรีงดงามเช่นหลิ่วหงเหยียน แต่เขาก็เป็นถึงองค์ชาย ย่อมไม่หลงใหลในรูปโฉมสตรีจนเสียงาน
ยิ่งนางเป็นครอบครัวของฉินเฟิงด้วยแล้ว เขายิ่งต้องรักษามารยาท ระมัดระวังในการกระทำ
“เจ้าชายผู้สูงส่งอะไรกันเล่า”
“พูดกันตามตรง องค์ชายของแคว้นเกาชาน ไม่อาจเทียนกับขุนนางระดับสามของแคว้นต้าเหลียงด้วยซ้ำไป”
“แคว้นเล็ก ๆ อย่างเรา จะอ้างตนสูงส่งได้อย่างไรกัน”
เดิมทีฉินเฟิงก็ประทับใจในตัวหานอวี้หมิงอยู่แล้ว พอได้ยินถ้อยคำถ่อมตนเช่นนี้ ฉินเฟิงก็ยิ่งชื่นชม
เขาเป็นองค์ชาย แต่กลับไม่ถือตัว มองเรื่องราวไปตามความเป็นจริง นับว่ามีคุณสมบัติที่ดีของผู้ปกครอง
มีคำกล่าวว่า ลูกคนจน เข้าใจโลกเร็ว
เห็นได้ชัดว่าองค์ชายแคว้นเล็ก ๆ อย่างเกาชาน สายตากว้างไกลกว่าองค์ชายแคว้นใหญ่หลายเท่า
หานอวี้หมิงเอาม้วนกระดาษออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยื่นให้ฉินเฟิง
“นายน้อยฉิน ข้ามาเยือนต้าเหลียงเพื่อพบท่านโดยเฉพาะ”
“ส่วนหนึ่งก็ด้วยรับสั่งของฝ่าบาท แต่อีกส่วนเป็นความตั้งใจของข้าเอง ที่อยากออกมาเปิดหูเปิดตา”
“ตอนนี้แคว้นเกาชานติดต่อภายนอกมากขึ้น นี่ก็ด้วยความช่วยเหลือของนายน้อยฉิน”
“ในฐานะองค์ชาย ข้าก็สมควรออกสะสมประสบการณ์ เพื่อจะได้มีความสามารถในการรับมือกับเรื่องต่าง ๆ ให้ได้ดี”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ