บทที่ 673 ข้าคิดถึงกุ้ยเฟยจริง ๆ
ซูอี้กับซูจีสบตากัน ต่างคนต่างหวาดกลัว
จางซิวเย่ ขันทีข้างกายฮ่องเต้ต้าเหลียง ทุกคำพูดและการกระทำล้วนส่งผลต่อการตัดสินใจของฝ่าบาท
แต่พออยู่ต่อหน้าหลี่เซียวหลานกลับอ่อนแอ ทำอะไรไม่ได้
เมื่อครู่พวกนางยั่วยุสิ่งใดกัน…
ชูเฟิงคลายมืออก จางซิวเย่ทรุดลงกับพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
“ขันทีจาง ถ้ากลับไป ช่วยกราบทูลฝ่าบาทด้วยว่า ข้าเก็บตัวเงียบอยู่ในวังหลังมาหลายวัน ถือว่าทำตามกฎและให้เกียรติราชวงศ์หลี่อย่างถึงที่สุด”
“ตอนนี้ ข้าอยากออกไปพบเฟิงเอ๋อร์สักครู่”
“แล้วก็ไปกราบทูลฮองเฮาด้วยว่า ถ้าพระองค์มีแผนการใด ก็ใช้ออกมาได้เลย ไม่จพำเป็นต้องให้เด็กโง่งมมาเป็นแพะรับบาป”
แล้วหลี่เซียวหลานก็เดินนำชูเฟิงกับเสี่ยวเซียงเซียงออกไป
จางซิวเย่ปาดเหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผาก ก่อนจะลุกขึ้น พลางเอ่ยปากสั่งขันทีน้อยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “มัวยืนทำอะไรอยู่เล่า เร่งไปเตรียมขบวนเสด็จให้องค์หญิงเร็วเข้า!”
“พวกเจ้าไม่ได้ยินหรือว่าองค์หญิงจะเสด็จออกนอกพระราชวัง”
ขันทีน้อยถูกดุก็ได้สติ รีบเร่งออกไป
จางซิวเย่ปรายตามองซูอี๋กับซูจี สายตาตำหนิอยู่หลายส่วน “ควรขอบคุณในความเมตตาขององค์หญิงเสียด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะองค์หญิง พวกท่านคงไม่มีลมหายใจอยู่แล้ว”
จางซิวเย่ขึ้นชื่อเรื่องให้ความสำคัญต่อเหล่าพระสนมมาโดยตลอด ชื่อเสียงของเขาในวังหลังนับว่าดีมาก
แต่อย่างไรเขาก็ไม่อาจขัดบัญชาจากเบื้องบน คำสั่งประหารหรือไว้ชีวิต ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เขาจะตัดสินได้
ตอนนี้ซูอี๋กับซูจีรอดตายมาได้
จางซิวเย่ย่อมเตือนด้วยความหวังดี
ซูอี๋ก้มโค้งคำนับไปทางตำหนักของหลี่เซียวหลานซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อขอบพระทัยในความเมตตา
ตกเย็น
บริเวณลานกว้างด้านหลังของหมิ่งเยว่ไจ ฉินเฟิงสวมเพียงเสื้อคลุมตัวหลวม ในมือถือไม้ยาว ยืนอยู่เหนือถังใบใหญ่ กำลังคลุกเคล้าธัญพืชที่นึ่งสุกแล้ว
“เทสุรากลั่นลงไป!”
“เทอีก!”
ฉินเฟิงร้อนจนเหงื่อไหลท่วมตัว แต่สีหน้ากลับมีแต่ความตื่นเต้น พอคลุกเคล้าเชื้อสุราเสร็จ เขาก็เข้าใกล้ความสำเร็จขึ้นอีกก้าวแล้ว
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์นั่งอยู่ไม่ไกล มองฉินเฟิงลงมือทำทุกอย่างด้วยตนเอง
เขาคล้ายกับชาวนาชาวไร่ ไร้ราศีของบุตรขุนนางอย่างสิ้นเชิง
ภายในใจนางนึกขัน แต่ปากกลับบ่นออกมา
“เรื่องแบบนี้ สั่งให้พวกบ่าวก็สิ้นเรื่อง ไยต้องลงมือทำเองด้วย?”
“ดูท่าทางของเจ้าสิ ช่างน่าขันเสียจริง!”
“ถ้าราชทูตเป่ยตี๋มาเห็นเข้า เกรงว่าจะดูแคลนเจ้าแล้ว”
ฉินเฟิงเช็ดเหงื่อบนหน้าผากอย่างลวก ๆ
เขาสั่งการช่างฝีมือให้นำธัญพืชและลูกแป้งที่ผสมเข้ากันดีแล้วส่งไปยังโรงหมัก ก่อนจะหันมาตอบเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ด้วยความตื่นเต้น
“การได้สัมผัสกับความสำเร็จ ถือเป็นความรื่นรมย์”
“อีกอย่าง คนอื่น ๆ ไม่เคยผลิตสุราเช่นนี้มาก่อน ข้าต้องลงมือ ทำให้พวกเขาดูเป็นแบบอย่าง”
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ส่ายหัว
“ตอนนี้ทั้งเมืองหลวงเล่าลือกันไปทั่วแล้วว่าเจ้ากำลังหมักสุรา”
“สุราขาวที่เจ้าทำจะใสเหมือนน้ำได้จริงหรือ แล้วไหนจะแรงกว่าปกติถึงห้ามสิบส่วนอีก”
“ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด”
ฉินเฟิงวางไม้คนลง วิ่งตรงไปยังโต๊ะหินอ่อน หยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มจนหมดในอึกเดียว แล้วกล่าวขณะหอบเล็กน้อย “ไม่เชื่อหรือ? ข้าเคยล้มเหลวหรือไร?”
เซี่ยว์อวิ๋นเอ๋อร์เบ้ปาก “ก็เป็นเรื่องที่เชื่อได้ยากไม่ใช่หรือ?”
ฉินเฟิงชี้นิ้วไปที่โรงหมัก แล้วกล่าวว่า “รอข้ากลั่นสุราเสร็จก่อนเถอะ เจ้าจะรู้ว่าสิ่งที่ข้าทำหาใช่แค่การกลั่นสุรา แต่กำลังกลั่นเงินกองโต!”
แน่นอนว่า เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์เชื่อฉินเฟิง แต่พอเห็นท่าทางมั่นใจของเขา ในใจก็คิดซุกซน
“ชิ! ข้าไม่เชื่อหรอก เจ้าจะพูดอย่างไรก็ตามใจ”
ฉินเฟิงเสียศักดิ์ศรีนัก หน้านายน้อยฉินบึ้งตึง ท่าทางจริงจัง “ข้าจะพาไปดู!”
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ขยับถอยหลังโดยไม่รู้ตัว “ไม่ไป! ไม่เชื่อ!”
“หา?!”
ฉินเฟิงไม่อาจทนได้อีก เขาคว้าข้อมือเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์แล้วดึง ฉวยโอกาสอุ้มนางพาดบ่า แล้วสาวเท้ายาว ๆ มุ่งหน้าไปยังโรงหมัก
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ