บทที่ 678 ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง
เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป
องครักษ์หลวงก็กลับมายังพระราชวัง ตรงไปที่ห้องทรงพระอักษร
“ทูลฝ่าบาท องค์ชายแคว้นเกาชานนาม หานอวี้หมิง ถูกหน่วยนกฮูกราตรีแห่งเป่ยตี๋ลอบสังหาร”
“แต่องครักษ์เสื้อแพรก็ช่วยชีวิตหานอวี้หมิงเอาไว้ได้”
“ข้าสั่งองครักษ์ชุดดำให้แอบวางกำลังไว้ล่วงหน้า ตั้งใจจะจับกุมทั้งหน่วยนกฮูกราตรีและองครักษ์เสื้อแพรในคราวเดียว”
“ทว่าอาวุธมืดขององครักษ์เสื้อแพรก็เตรียมการไว้ก่อนเช่นกัน สุดท้ายองครักษ์เสื้อแพรได้ตัวหานอวี้หมิงไป องครักษ์ชุดดำเลยต้องกลับมามือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงยังคงตรวจฎีกาต่อ ท่าทีเฉยเมยราวไม่ใส่ใจ
สายตาไม่ละจากฎีกาตรงหน้าเลยสักนิด
ยามนี้ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงราวกับเป็นเพียงชายวัยกลางคนธรรมดาที่ผมตรงขมับเริ่มมีผมขาวแซม น้ำเสียงนิ่งสงบเอ่ยขึ้น “เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้”
“หานอวี้หมิงเป็นตัวแทนของแคว้นเกาชาน เดินทางเข้าเมืองหลวงมาหารือกับฉินเฟิง”
“ไม่ว่าจะพวกเขาจะทำข้อตกลงใดกัน สำหรับเป่ยตี๋มีแต่โทษร้อยแง่ ไม่มีประโยชน์สักทาง เป่ยตี๋ย่อมต้องอยากกำจัดหานอวี้หมิง”
“ส่วนเรื่ององครักษ์เสื้อแพรแทรกซึมเข้าเขตเมืองหลวง ไม่ใช่ความลับมานานแล้ว”
“ฉินเฟิงสมกับเป็นผู้ฝึกทหารอันดับหนึ่งของแคว้นต้าเหลียงจริง ๆ”
“ไม่ว่าจะเป็น องครักษ์ค่ายเทียนจี กองทหารม้าทมิฬ หรือองครักษ์เสื้อแพรตอนนี้ ล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น”
องครักษ์หลวงเคยได้ประจักษ์ถึงความสามารถของค่ายเทียนจีมาแล้ว
เขารู้ว่าคำพูดของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไม่ใช่คำยกยอเกินจริง แต่เป็นการยืนยันความสามารถของเฉินเฟิง
“ฝ่าบาท คราวนี้องครักษ์ชุดดำถูกทำร้ายจนหัวแตกเลือดอาบ เราควรจัดการเรื่องนี้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทรงพลิกฎีกาอย่างไม่ใส่ใจ พลางกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องสนใจ”
นับตั้งแต่องครักษ์ชุดดำสอดมือเข้ายุ่งกับการแย่งชิงระหว่างองค์ชายรองกับองค์ชายเจ็ด ฮ่องเต้ต้าเหลียงก็รู้แล้วว่า องครักษ์ชุดดำไม่คู่ควรกับความทุ่มเทของเขา
“ปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเองเถอะ”
“พวกเจ้าองครักษ์หลวง เมื่อครั้งติดตามฮ่องเต้ต้าเหลียงองค์ก่อนได้ออกรบทั่วทุกหนแห่ง สร้างผลงานมากมาย สังหารศัตรูนับไม่ถ้วน
“ทั้งมือธนูและทหารสอดแนมกลายมาเป็นองครักษ์หลวงในปัจจุบัน”
“ต่อไปนี้ การป้องกันต่าง ๆ ในเมืองหลวง ต้องให้เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าแล้ว”
องครักษ์หลวงประสานหมัดคำนับ
ไม่มีความลังเลใด ๆ
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
องครักษ์หลวงกำลังจะถอยออกไป แต่ก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จึงกราบทูลต่อ
“ฝ่าบาท หน่วยนกฮูกราตรีที่แทรกซึมเข้ามาในเขตเมืองหลวงมีองครักษ์ชุดดำคอยรับมือเต็มกำลังก็ยังพอเป็นไปได้”
“แต่องครักษ์เสื้อแพรเล่า ควรจะรับมืออย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“อย่างไรพวกเขาก็เป็นเงาของฉินเฟิง”
“ถ้าตรวจสอบและปราบปรามอย่างเข้มงวด จะไม่เป็นการยั่วโทสะฉินเฟิงเอาหรือ?”
“แต่ถ้าปล่อยปละละเลย เกรงว่าเมืองหลวงคงไม่อาจมีความลับใด ๆ อีกแล้ว”
ในที่สุด ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงละสายตาจากฎีกา เงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีนอกห้องทรงพระอักษร พลางถอนหายใจเบา ๆ
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่จัดการได้ยากที่สุดก็ยังคงเป็นฉินเฟิงอยู่ดี
ตามหลักการ ไม่ควรปล่อยให้ใครมานอนหลับสบายใต้แท่นบรรทมของฮ่องเต้
พลังใดที่ไม่ใช่ของราชวงศ์หลี่ สมควรถูกปราบปรามให้สิ้นซาก ป้องกันภัยตั้งแต่เนิ่น ๆ
แต่ถ้าลงมือจริง ๆ ก็เกรงว่าฉินเฟิงจะต่อต้าน
สุดท้าย ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไม่ได้ตอบตรง ๆ แต่ถามกลับว่า
“ช่วงนี้ลมในราชสำนักเป็นเช่นไร?”
องครักษ์หลวงเตรียมพร้อมไว้แล้ว จึงตอบได้ทันที
“ทูลฝ่าบาท หลายวันมานี้ไม่ได้มีการว่าราชการเช้า เหล่าขุนนางก็ไม่ได้ติดต่อใกล้ชิดเป็นการส่วนตัวเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา”
“และเนื่องจากคณะทูตจากเป่ยตี๋เข้าเมืองหลวง งานในแต่ละกรมยุ่งมาก เหล่าขุนนางก็ยุ่งอยู่ราชกิจราชการพ่ะย่ะค่ะ”
พอได้ยินแบบนั้น ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็โล่งอกไปบ้าง
เขาทอดสายตามององครักษ์หลวง แล้วถาม “เช่นนั้นเจ้าคิดว่า ถ้าเจิ้นขึ้นว่าราชการในวันพรุ่ง จะมีขุนนางกล่าวถึงเรื่องการแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางใหญ่หรือไม่?”
พอได้ยินคำถามนี้ องครักษ์หลวงก้มศีรษะลงต่ำทันที
“กระหม่อมเป็นเพียงทหารผู้หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องบ้านเมืองยิ่งใหญ่ ผู้ไร้ความสามารถไม่อาจวิพากษ์วิจารณ์”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ