บทที่ 682 สถานการณ์ยากลำบาก
วันรุ่งขึ้น หลี่เซียวหลานก็กลับเข้าพระราชวังต้องห้าม โดยมีทหารรักษาพระราชวังคอยคุ้มกัน
เมื่อเทียบกับความปีติยินดียามพบหน้า ช่วงของการจากลากลับไร้ความเศร้า
อย่างไรก็อยู่ในเมืองหลวง แม้ไม่ได้อยู่ร่วมกัน แต่ก็ไม่ได้ห่างไกล
อีกทั้งหลี่เซียวหลานได้แสดงท่าทีและจุดยืนของตนต่อฮ่องเต้ต้าเหลียงแล้ว หากนางต้องการกลับมา ก็สามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ
ด้วยเหตุนี้ ฉินเฟิงกับหลิ่วหงเหยียนเลนทำแค่รอส่งนาง แล้วหมุนตัวกลับหมิ่งเยว่ไจ
หลี่เซียวหลานเพิ่งกลับไป หนิงหู่ก็มาถึงแล้ว
“พี่ฉิน เมื่อคืนหลิ่วหมิงนำพี่น้ององครักษ์เสื้อแพรออกกวาดล้างทั่วเมืองหลวง จับกุมหน่วยนกฮูกราตรีของเป่ยตี๋ได้เก้าคน”
“คราวนี้พวกสายลับของเป่ยตี๋คงถูกกำจัดจนสิ้นซากจริง ๆ แล้ว”
ฉินเฟิงกำลังเดินเอามือไพล่หลัง ตรวจสอบโรงหมัก เขาตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีวันจับได้หมดหรอก”
“แม้แต่กระต่ายยังขุดทางเข้าโพรงถึงสามแห่ง แล้วหน่วยนกฮูกราตรีเป่ยตี๋จะไม่เหลือทางไว้หรือ?”
“พวกสายลับที่ถูกจับได้ง่าย เกรงว่าจะเป็นแค่แพะรับบาป ทำหน้าที่เป็นเกราะกำบัง”
“และแม้จะจับกุมพวกที่ซ่อนตัวมิดชิดได้ อย่างไรก็ยังมีหน่วยสอดแนมรุ่นเก่าที่ซ่อนตัวลึกกว่านั้น ใช้ชีวิตอยู่ในต้าเหลียงมาหลายปีหรือแม้กระทั่งหลายสิบปี
“เว้นแต่พวกเขาจะเปิดเผยตัวตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่า พวกเขาเป็นคนเป่ยตี๋หรือเป็นชาวต้าเหลียงจริง ๆ”
“และถึงจะหาวิธีจับกุมสายสอดแนมรุ่นเก่าได้หมด อย่างไรก็มีสายสอดแนมที่เป็นตัวสำรองอีกนั่นแหละ”
“พวกตัวสำรอง ยามปกติไม่มีอะไรแตกต่างจากสามัญชนแม้แต่น้อย ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยนกฮูกราตรีด้วยซ้ำ”
“แต่ถ้ารู้ว่าเพื่อนร่วมรบตายหมดแล้ว ก็จะแบกรับภาระหนักอึ้งไว้เอง”
ฉินเฟิงหยิบเชือกป่านขึ้นมามัดปากโอ่งหมักเหล้า ป้องกันไม่ให้อากาศรั่วไหล จากนั้นก็เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า
“การจับกุมสายลับของศัตรูที่จริงแล้วก็เป็นเพียงงานผิวเผิน อย่างไรก็ไม่มีวันกวาดล้างได้หมดสิ้น”
“และถ้าหน่วยสอดแนมของศัตรูตายหมด ต่อไปเราก็จะส่งก็ส่งข่าวที่อยากส่งไปยังศัตรูได้ลำบากเช่นกัน”
หนิงหู่ตะลึงงัน
ในมุมมองของเขา หน่วยสอดแนมของศัตรูเป็นบ่อนทำลายบ้านเมือง สมควรถูกฆ่าให้สิ้นซาก
แต่คำพูดของฉินเฟิงกลับทำให้ หนิงหู่ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่
ที่แท้การกำจัดสายลับของศัตรูมีเรื่องต้องพิจารณามากมายถึงเพียงนี้
ยิ่งตอนฉินเฟิงกล่าวเหมือนต้องเก็บสายสอดแนมของศัตรูบางส่วนไว้ ไม่สามารถฆ่าได้หมด ก็ยิ่งทำให้หนิงหู่ประหลาดใจ
แม้ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่หนิงหู่เชื่อฉินเฟิงอย่างสนิทใจ
นั่นเพราะ…
ฉินเฟิงเองก็เป็นหัวหน้าหน่วยสอดแนม
เขาองครักษ์เสื้อแพรขึ้นมากับมือ ใช้เวลาไม่นานก็ทำให้องครักษ์ฌสื้อแพร กลายเป็นหน่วยสอดแนมที่ใหญ่เป็นอันดับสาม เป็นรองเพียงองครักษ์ชุดดำกับหน่วยนกฮูกราตรีเท่านั้น
ความเข้าใจของฉินเฟิงในเรื่องนี้ย่อมไม่ต้องสงสัย
แต่หนิงหู่ก็ยังแปลกใจ
“พี่ฉิน ในเมื่อเจ้าคิดว่าหน่วยนกฮูกราตรีไม่อาจถูกกำจัดให้หมดได้ และถึงทำได้ เราก็ต้องจงใจเหลือเอาไว้บ้าง”
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงเห็นด้วยที่คุณหนูสามมอบภารกิจที่เป็นไปไม่ได้แก่หลิ่วหมิง?”
“หลิ่วหมิงเป็นศิษย์ของโม่หลี เป็นหัวหน้าหน่วยอาวุธมือขององครักษ์เสื้อแพร”
“เรื่องที่ต้องให้หน่วยลับทำในเขตเมืองหลวง ล้วนต้องอาศัยเขาทั้งสิ้น”
“ถ้าลงโทษเขาหนักเกินไป เกรงว่า…”
หนิงหู่ไม่ทันพูดจบ ฉินเฟิงก็โบกมืดตัดบท
เขาปัดมือไปมา หมุนตัวเดินออกจากโรงหมัก พร้อมปิดประตูสนิทเรียบร้อย
ถังหมักก็คือคลังสมบัติ ไม่อาจยอมให้เกิดข้อผิดพลาดใด ๆ ได้
ลงกลอนประตูดีแล้ว ฉินเฟิงก็หันมาตบไหล่หนิงหู่
ก่อนจะเดินออกมา นั่งลงที่โต๊ะด้านนอก แล้วรินน้ำชาเย็นชืดหนึ่งถ้วยส่งให้

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ