บทที่ 686 ไปตกปลากัน
หลังพักดื่มชาครู่หนึ่ง ทั้งสองฝ่ายก็กลับมาโต้เถียงกันอย่างดุเดือดอีกครั้ง
ขันทีน้อยที่อยู่นอกประตูถอนหายใจยาว
“เรื่องอะไรกันนี่?”
“ไม่แปลกใจเลยที่ฝ่าบาทและสมาชิกราชวงศ์หลี่ไม่เคยเข้าร่วมการเจรจาสันติภาพ”
“ภาพเหตุการณ์แบบนี้ช่างน่าอับอายนัก”
“แล้วนี่นายน้อยฉินหนีไปไหนกันแน่ ทำไมยังไม่มาอีก ช่างทำให้คนเป็นกังวลเก่งเหลือเกิน”
ช่วงเวลานี้ ฉินเฟิงอยู่ที่ทะเลสาบแสงจันทร์ เขาถอดรองเท้า และพับขากางเกงขึ้น
นั่งลง แช่เท้าลงในทะเลสาบเย็นฉ่ำ ท่าทีสบายอกสบายใจนัก
ในมือก็ถือคันเบ็ด ตกปลาสบายอารมณ์
คนที่ร้อนรนเห็นจะเป็นฉินเสี่ยวฝูที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขากระวนกระวาย เกาหูเกาแก้ม จะมีอารมณ์ใดมานั่งตกปลา
“นายน้อย นี่สายมากแลเ้วนะขอรับ! ถ้ายังทำเช่นนี้ การเจรจาคงได้จบไปเสียก่อนแน่”
“เรื่องสำคัญที่ส่งผลกระทบระดับแคว้น จะปล่อยปละไม่สนใจได้อย่างไรขอรับ”
ฉินเฟิงทำหูทวนลม หูข้างหนึ่งก็ฟังบทเพลงที่แว่วมาจากเรือสำราญที่อยู่ไม่ไกลนัก อีกข้างก็ฟังเสียงทุ่นตกปลา
ท่าทีสบายอกสบายใจเหลือเกิน
“ข้าไม่รีบ ไยเจ้าต้องรีบ? ฮ่องเต้ไม่รีบร้อน ขันทีกลับร้อนใจ!”
“ข้าไม่ได้บอกเจ้าแล้วหรือ การเจรจาคราวนี้ ไม่มีทางจบในวันเดียว”
“วันนี้เจรจาไม่จบ พรุ่งนี้เจรจาต่อ พรุ่งนี้เจรจาไม่จบ มะรืนนี้ก็เจรจาอีก”
“คณะทูตเป่ยตี๋เพิ่งเข้าเมืองหลวงก็เสียเปรียบแล้ว ทั้งเสียหน้าและเสียศักดิ์ศรี”
“โดนกระทำถึงเพียงนี้ คณะทูตของเป่ยตี๋ก็ยังไม่จากไป”
“เห็นได้ชัดว่า สงครามคราวนี้ทำให้เป่ยตี๋สูญเสียไม่น้อย ถ้าไม่จำเป็นอย่างถึงที่สุด เป่ยตี๋ย่อมไม่ก่อสงครามอีก”
“ส่วนสถานการณ์ของต้าเหลียงก็ชัดเจนอยู่แล้ว”
“ทั้งสองฝ่ายต่างก็แค่ขู่กันด้วยวาจา แท้จริงแล้วไม่มีใครอยากทำสงครามอีก”
“มีคำกล่าวว่าอะไรนะ? อา ๆ ใช่แล้ว สุนัขเห่าเสียงดัง ไม่กัดคน”
“พอการเจรจาสันติภาพเริ่มขึ้น ก็ต้องเจรจาให้ได้ผลลัพธ์”
“วางใจเถิด ต่อให้ขับไล่ คณะทูตเป่ยตี๋ก็ไม่กลับไปง่าย ๆ ด้วยซ้ำ”
พอได้ฟังคำพูดของฉินเฟิง ฉินเสี่ยวฝูก็ตระหนักได้ แล้วค่อยโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย
แต่จิตใจที่แขวนลอยอยู่ก็ยังไม่ได้วางมา
เขายังรู้สึกว่า ฉินเฟิงเป็นหนึ่งในตัวแทนต้าเหลียงในการเจรจาสันติภาพคราวนี้ แต่เขากลับหลบเลี่ยงไม่เข้าร่วม ไม่ว่าจะในแง่ของความรู้สึกหรือเหตุผลก็ล้วนไม่สมควร
“แม้การเจรจาจะไม่จบในวันเดียว แต่นายน้อยก็ควรไปรับฟัง ถ้ามีการพูดคุยเรื่องสำคัญ แล้วท่านไม่อยู่…”
ฉินเฟิงยักไหล่ ท่าทีไม่ใส่ใจ
“เพิ่งวันแรกจะมีเรื่องสำคัญอะไรกัน”
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายคงกำลังชี้หน้าด่ากันอยู่นั่นแหละ”
“คณะทูตเป่ยตี๋คงระบายอัดอั้นตันใจ ส่วนขุนนางต้าเหลียงก็ไม่ใช่คนหัวอ่อน”
“ถ้าไม่ได้ทดสอบขีดจำกัดของกันและกัน ทั้งสองฝ่ายย่อมไม่มีใครยอมก้มหัว หวังแต่จะใช้ ‘วิธีการกดดันให้หนัก’ บีบฝ่ายตรงข้ามให้จำนน”
“ท้ายที่สุดแล้ว ผู้มีกำปั้นใหญ่กว่าย่อมเป็นฝ่ายถูก และไม่ว่าเป่ยตี๋หรือต้าเหลียง ต่างก็คิดว่าตนเองกำปั้นใหญ่”
“วันนี้จะไปหรอไม่ไป ย่อมไม่มีอะไรแตกต่าง”
แล้วฉินเฟิงก็สังเกตเห็นทุ่นตกปลากระดุกพอดี เขากระชับคันเบ็ด
เป็นอย่างที่คาดไว้ ปลาไม่ติดเบ็ดง่าย ๆ
“บัดซบ!”
ฉินเฟิงตระหนักว่า เขาช่างไม่เหมาะกับการตกปลา
กิจกรรมนี้ต้องใช้ความอดทน และมีจิตใจที่สงบนิ่ง รอคอยโอกาสอย่างใจเย็น
แต่ด้วยนิสัยของนายน้อยฉิน ถ้าเขาขึ้นโต๊ะเจรจา เขาก็คงจะด่ากราด พ่นถ้อยคำรุนแรงใส่ไม่เลือกหน้า
ดีไม่ดีก็อาจจะถึงขั้นกำหมัด ซัดพวกเขาตรง ๆ ไปเลยก็ได้!
ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องไปสร้างความวุ่นวาย
ฉินเสี่ยวฝูถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่เขาจะทำอะไรได้เล่า
“นายน้อย เช่นนั้นเราก็กลับเรือนเถิดขอรับ”
ฉินเฟิงรีบก็ส่ายหัวปฏิเสธ ราวกับลูกตุ้มแกว่ง



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ