บทที่ 693 เหตุเร่งด่วน
หนึ่งก้านธูปหลังจากนั้น ทหารส่งสารควบม้าออกจากประตูเมือง มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
ทหารส่งสารทั้งสองคนเหน็บธงสีแดงไว้บนหลัง บนธงเขียนตัวอักษรสีเหลืองขนาดใหญ่ ‘เร่งด่วน’
แม้อยู่ห่างออกไปก็จำแนกได้ว่า ทั้งสองคนคือทหารส่งสารที่กำลังถือสารด่วน ผู้คนก็จะรีบหลีกทางให้
ยิ่งไปกว่านั้น ธงนี้คล้ายคลึงกับธงส่งสารของกรมกลาโหมแทบจพทุกประการ
ผู้คนย่อมแยกไม่ออกว่า เป็นสารด่วนที่ส่งมาจากอำเภอเป่ยซี หรือเป็นสารด่วนของกรมกลมโหม
ด้วยวิธีนี้ จะทำให้ผู้ที่พยายามสกัดกั้นรายงานด่วนของอำเภอเป่ยซีแยกแยะจริงเท็จไม่ได้
ส่วนเหตุผลที่ต้องส่งทหารส่งสารไพร้อมกันสองคน
ประการแรก เพื่อช่วยเหลือกันระหว่างทาง ประการที่สอง เป็นตัวสำรอง ถ้าทหารส่งสารคนหนึ่งเกิดเหตุร้าย อีกคนก็ยังไปส่งสารต่อยังเมืองหลวงได้
นอกจากนกี้ ทหารส่งสารทุกคนที่ผ่านศาลาพักม้าจะต้องแลกเปลี่ยนหนังสือผ่านด่าน
แล้วศาลาพักม้าถัดไปจะต้องส่งข่าวกลับไปยังศาลาพักม้าก่อนหน้าภายในหนึ่งชั่วยามว่า ทหารส่งสารได้ผ่านด่านไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับทหารส่งสารทั้งสองคน ศาลาพักม้าก็จะรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว และรายงานต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงได้ทันท่วงที
ด้วยการวางแผนอย่างรอบคอบและรัดกุม ทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างอำเภอเป่ยซีและเมืองหลวงเป็นไปอย่างราบรื่นมาโดยตลอด
อีกทั้งการทำเช่นนี้ ยังช่วยร่นเวลาในเดินทางเหลือเพียงหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนเท่านั้น
ความเร็วนี้ แม้แต่ทหารส่งสารของกรมกลาโหมก็ยังตามไม่ทัน
ทหารส่งสารทั้งสองคนควบม้าไม่หยุดพัก เดินทางทั้งกลางวันกลางคืน มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
ขณะเดียวกัน การเจรจาสงบศึกที่กำลังดำเนินอยู่ในเมืองหลวงก็ยังคงดำเนินต่อไป
เมื่อเทียบกับวันแรกที่ปะทะอารมณ์กันอย่างรุนแรง บรรยากาศการเจรจาวันนี้สงบลงมาก
แต่สำหรับคณะทูตของเป่ยตี๋ ความได้เปรียบไม่ได้อยู่กับพวกเขาอีกต่อไป
เพราะการเจรจาวันนี้ ฉินเฟิงเข้าร่วมด้วย
แม้ฉินเฟิงจะเป็นเพียงจ่างเล่อป๋อ นั่งอยู่ท้ายโต๊ะเจรจา ตลอดกระบวนการไม่เอ่ยปากพูดสักคำ ทำเพียงนั่งอมยิ้มท่าทีคลุมเครือ
แต่คณะทูตเป่ยตี๋กลับรู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หลู่หลียกถ้วยชาขึ้นจิบให้ชุ่มคอ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงทุ้มว่า “ทะเลาะก็ทะเลาะมามาก วุ่นวายก็วุ่นวายกันพอแล้ว วันนี้ก็เริ่มเจรจากันจริงจังเถอะ”
“สงครามคราวนี้ เป๋ยตี้พ่ายแพ้ เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง”
“ด้วยสถานะของแคว้นผู้พ่ายสงคราม การจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนหนึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
“ก่อนมาที่นี่ ทั้งขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ของเป่ยตี๋ได้หารือกันแล้ว และเห็นพ้องกันว่า ค่าปฏิกรรมสงคราม เป่ยตี๋ชดเชยให้ได้สูงสุดหนึ่งล้านตำลึง วัวและแกะอย่างละสองร้อยตัว ”
“ทั้งการซ่อมแซมป้อมปราการต่าง ๆ ตามแนวชายแดนต้าเหลียง รวมถึงความเสียหายทางอาวุธยุทโธปกรณ์ ก็รวมอยู่ในนี้ทั้งหมดแล้ว”
ถ้าเป็นวันก่อน ไม่ต้องรอให้ฉินเทียนหู่เอ่ยปาก บรรดาขุนนางต้าเหลียงที่มาเจรจาสงบศึกก็คงนั่งไม่ติดเก้าอี้ คัดค้านหัวชนฝาไปแล้ว
แต่วันนี้เหล่าขุนนางกลับเงียบเป็นพิเศษ พวกเขาอยากรอฟังความเห็นของฉินเฟิง
ชั่วพริบตา สายตาทุกคู่บนดต๊ะเจรจาก็จับจ้องมาที่ฉินเฟิง
พอเห็นเขายังทำท่าทีเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ฉินเทียนหู่ก็อดโมโหไม่ได้
เขาถลึงตามองบุตรชาย คว้าถ้วยชาขึ้นมา ทำท่าจะขว้างใส่
“เจ้าเด็กตัวเหม็นนี่ ถ้าเจ้ายังไม่ตื่น ก็กลับจวนไปเสีย อย่ามาทำให้ข้าขายหน้า!”
เผชิญกับคำตำหนิและถ้วยชาในมือที่พร้อมจะขว้างของฉินเทียนหู่ ฉินเฟิงสำรวมท่าทีเล็กน้อย เขาเบ้ปาก ทำหน้าน้อยใจ
“ทำไมถึงได้โมโหนักเล่า?”
“ข้าเป็นเพียงป๋อผู้ต่ำต้อย จะมีที่ให้สอดปากพูดได้อย่างไร?”
“คณะทูตเสนอราคาชดใช้มาแล้ว ต่อไปก็เป็นการต่อรองราคา นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรเป็นหรอกหรือ?”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ