บทที่ 711 คิดถึงข้าหรือไม่?
จางซิวเย่รู้จักสถานที่แห่งนี้ดีนัก ไม่เกินหนึ่งก้านธูป คำพูดเมื่อครู่ของฉินเฟิงย่อมรู้ไปทั่วทั้งวังหลัง
แต่ผู้ใดจะกล้าทำอะไรฉินเฟิงได้?
ท้ายที่สุดแล้ว เหล่าพระสนมตำหนักต่าง ๆ ก็จะทำได้แค่ ระบายอารมณ์ใส่นางกำนัลของพวกนางเองเท่านั้น
จางซิวเย่ก็ทำได้เพียงเชื่อฟังฉินเฟิง เขาต้องทำให้ ‘บรรพบุรุษ’ผู้นี้พอใจโดยเร็ว จะได้ส่งออกจากพระราชวังไปเสียที
“นายน้อยฉิน ข้างหน้าคือตำหนักขององค์หญิงหมิ่งเยว่แล้ว ข้าจะไปแจ้งให้พระองค์ทราบก่อน”
จางซิวเย่กำลังจะก้าวไปรายงาน ฉินเฟิงก็คว้าตัวเขาไว้เสียก่อน
ฉินเฟิงยกมุมปาก เผยรอยยิ้มซุกซน “ไม่จำเป็น ข้าอยากให้พี่หญิงสามประหลาดใจสักหน่อย”
ประหลาดใจ? จางซิวเย่อยากจะร้องไห้… เกรงว่าจะตกใจมากกว่า!
ฉินเฟิงเป็นขุนนาง ทั้งยังเป็นบุรุษ การเดินเพ่นพ่านในวังหลังนับว่าผิดธรรมเนียม แต่นี่จะไม่ให้รายงาน แล้วบุกรุกเข้าตำหนักของเชื้อพระวงศ์อีก
ถึงจะสนิทสนม แต่การกระทำเช่นนี้ก็ยังถือเป็นการท้าทายอำนาจราชวงศ์หลี่
แต่ว่า…
จางซิวเย่จะทำอย่างไรได้เล่า นอกจากทำใจ ฝืนยิ้มตอบรับไปอย่างนั้น
ฉินเฟิงไม่รอช้า เอามือไพล่หลังเดินผ่านประตูใหญ่หน้าตำหนักเข้าไป
เดิมนายน้อยฉินคิดว่า อย่างไรพี่หญิงสามก็เป็นองค์หญิงหนึ่งเดียวของต้าเหลียงย่อมต้องได้พักในตำหนักวิจิตรหรูหรา ทว่าไม่ใช่ ตำหนักเบื้องหน้าเรียบง่ายมาก มากถึงขั้นเงียบเหงาทีเดียว
ดอกไม้ในลานเล็ก ๆ เหี่ยวเฉา และใบไม้ร่วงอยู่เต็มพื้นราวกับไม่ได้ทำความสะอาดมานานแล้ว
ฉินเฟิงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
จางซิวเย่เชี่ยวชาญเรื่องการสังเกตสีหน้าท่าทางเป็นที่สุด พอเห็นสีหน้าของฉินเฟิงตอนนี้ ก็พลันเสียวสันหลังวาบ เขารีบอธิบาย
“นายน้อยฉินอย่าได้เข้าใจผิด”
“เดิมทีตำหนักที่ฝ่าบาทพระราชทานแก่องค์หญิงหมิงเยว่เป็นหนึ่งในตำหนักที่ใหญ่และงดงามที่สุด”
“ทว่าองค์หญิงไม่ชอบความโอ่อ่าเกินควร จึงย้ายมาประทับที่ตำหนักนี้แทน”
“แต่ท่านวางใจเถิด แม้เป็นเพียงตำหนักทั่วไป แต่เรื่องอาหาร อาภรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ ล้วนเป็นสิ่งที่ดีคัดสรรอย่างดีที่สุด”
คิ้วที่ขมวดแน่นของฉินเฟิงยังไม่คลาย เขาชี้ไปที่สวนดอกไม้เหี่ยวเฉา และใบไม้เกลื่อนพื้น
“เจ้าจะอธิบายเรื่องนั้นอย่างไร”
จางซิวเย่เช็ดเหงื่อเย็นที่ผุดซึมบนหน้าผาก การเผชิญหน้ากับฉินเฟิงกดดันเสียยิ่งกว่าอยู่หน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ต้าเหลียงเสียอีก
หัวหน้าขันทีไม่กล้าลังเล รีบตอบ “การดูแลดอกไม้ต้องพิถีพิถัน ใส่ใจอยู่ทุกวัน ย่อมต้องใช้ความอดทนและพลังงานมากนัก”
“แต่องค์หญิงไม่ปราถนาให้ส่งนางกำนัลมาที่นี่ เรื่องเหล่านี้จึงไม่มีผู้ใดทำแทนพระองค์”
“ส่วนองค์หญิงย่อมไม่เสียเวลาและกำลังไปกับดอกไม้ใบหญ้า”
“แล้วพวกใบไม้นั่น พระองค์ก็ทรงกำชับไว้เป็นพิเศษว่า อย่าได้กวาดทิ้ง”
“เมื่อครั้งอยู่อำเภอเป่ยซี ยามถึงฤดูใบไม้ร่วง ลานบ้านจะเต็มไปด้วยใบไม้ องค์หญิงทรงตรัสว่า ปล่อยใบไม้ไว้เช่นนี้ จึงจะรู้สึกถึงกลิ่นอายของบ้านที่คิดถึง”
ฉินเฟิงได้ฟังแบบนี้ก็สะเทือนใจนัก
เดิมหลี่เซียวหลานอยู่ที่อำเภอเป่ยซี ได้อยู่ข้างกายมารดา แม้ร่างกายลำบาก ทว่าอิ่มเอมใจ
พอฉินเฟิงเริ่มพัฒนาอำเภอเป่ยซี คิดก่อตั้งหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ก็ได้หลี่เซียวหลานเป็นหัวแรง ต่อมาเขาก็ขอให้นางรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรฝ่ายซ้าย หรือก็คือผู้บังคับบัญชาสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพร นับว่าเป็นการใช้คนตามความสามารถ
บัดนี้นางต้องมายังเมืองหลวง กลายเป็นองค์หญิงหนึ่งเดียวของต้าเหลียงที่ผู้คนเทิดทูน อาศัยอยู่แต่ในพระราชวังต้องห้าม ใช้ชีวิตไม่ต่างจากนักโทษ ขังตัวเองอยู่แต่ในตำหนัก เช้ายันค่ำ ไม่ได้ย่างกรายไปที่ใด
และเพื่อความปลอดภัย แม้แต่นางกำนัลที่ได้จัดสรรก็ไม่อาจรับไว้ มีเพียงเสี่ยวเซียงเซียงกับชูเฟิงที่ติดตามมาจากจวนตระกูลฉินคอยอยู่เคียงข้าง
แม้เสี่ยวเซียงเซียงกับชูเฟิงจะทุ่มเทสุดความสามารถ แต่ด้วยมีเพียงสองคนต้องดูแแลทั้งตำหนัก ด้วยกำลังพวกนางก็ยากจะปรนนิบัติหลี่เซียวหลานได้ดี
ตำแหน่งของหลี่เซียวหลานในวังหลังเป็นรองเพียงฮองเฮากับองค์หญิงใหญ่ แต่กลับมีชีวิตที่ยากลำบากกว่าพระสนมไร้ชื่อเสียอีก


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ