บทที่ 717 ขุนนางกดดัน
พลพรรคเถาหลินและขุนนางฝ่ายฮ่องเต้ชักกระบี่ขึ้นสายธนู*[1] บรรยากาศในท้องพระโรงตึงเครียดอย่างยิ่ง
แม้ก่อนหน้านี้พลพรรคเถาหลินกับฝ่ายฮ่องเต้จะขัดแย้งกันมาไม่น้อย ไม่คนค้าสมาคมกัน ในราชสำนักก็คอยขัดขากันตลอด แต่บรรยากาศตึงเครียดรุนแรงเช่นนี้นับว่าเพิ่งเคยมีเป็นครั้งแรก
เหล่าขุนนางผู้เป็นกลางที่มีอยู่ไม่มาก ท่าทีราวกับกำลังดูการแสดงใหญ่
ด้วยทั้งพลพรรคเถาหลินและฝ่ายฮ่องเต้ ไม่ว่าฝ่ายไหนจะครอบครองอำนาจในราชสำนักก็ไม่กระทบต่อพวกเขาแต่อย่างใด
เมื่อเห็นว่า การต่อสู้ภายในราชสำนักกำลังจะขยายออกไปข้าง
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงที่เฝ้ามองอยู่หลังฉากกั้นเก้าอี้มังกรมาโดยตลอดก็ตระหนักว่า หากยังปล่อยไปเช่นนี้ สถานการณ์จะลุกลามจนยากจะควบคุม
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงสีหน้าเคร่งเครียดเดินออกมาจากหลังฉาก ก้าวขึ้นนั่งบนบัลลังก์ ไม่กล่าวคำใด
เมื่อฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเสด็จ ท้องพระโรงที่กำลังวุ่นวายพลันเงียบลง
สายตาของเหล่าขุนนางจับจ้องไปยังฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็กำลังกวาดสายตามองทั่วท้องพระโรงเช่นกัน พอเห็นว่าฉินเฟิงไม่ได้อยู่ที่นี้ เขาก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลังได้เห็นฉินเฟิงจัดการกับคณะทูตเป่ยตี๋ รวมถึงความเฉียบขาด สังหารองครักษ์หลวงอย่างไม่ลังเล ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็รู้แล้วว่า ถ้าฉินเฟิงสอดมือเข้ายุ่งเรื่องตำแหน่งมหาเสนาและไท่เป่าด้วยตัวเอง เขาย่อมไม่อาจเลี่ยงเรื่องนี้ได้อีก
โชคดีที่ฉินเฟิงยังคิดว่าตนเองเป็นขุนนางเพียงในนาม เป็นเพียงจ่างเล่อป๋อเล็ก ๆ ที่ได้รับเพียงชั่วคราว ไม่มีตำแหน่งขุนนางอย่างเป็นทางการ เมื่อฝ่าบาทไม่เรียกตัว ฉินเฟิงย่อมไม่มาสร้างความวุ่นวายในท้องพระโรง
แล้วเสียงของจางซิวเย่ก็ดังก้องไปทั่วท้องพระโรง
“ยามเช้า ยามสาย ยามเย็น สามยามเป็นหนึ่งเดียว”
ขุนนางทั้งหมดในราชสำนักพลันคุกเข่าลง เปล่งเสียงเป็นเสียงเดียว “ถวายบังคมฝ่าบาท”
เมื่อทอดพระเนตรขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ที่คุกเข่าลง ฮ่องเต้ต้าเหลียงก็ถอนหายใจออกมา
“เหล่าขุนนางที่รัก มีเรื่องใดจะรายงานหรือไม่?”
ฮ่องเต้แคว้นเหลียงทรงคาดว่า เหล่าขุนนางอย่างน้อยก็คงจะดำเนินตามขั้นตอน ทูลรายงานเรื่องกงการที่คั่งค้างในช่วงเวลาที่ผ่านมาก่อน แล้วค่อยหาโอกาสเสนอเรื่องการแต่งตั้งมหาเสนากับไท่เป่า
แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ฉินเทียนหู่ไม่ลังเลสักนิด ก้าวออกมาข้างหน้า น้ำเสียงไม่ได้หยิ่งยโสแต่ก็ไม่กดตัวต่ำดังก้องท้องพระโรง
“ฝ่าบาท ตำแหน่งมหาเสนากับตำแหน่งไท่เป่าว่างเว้นมานานแล้ว ทำให้ราชกิจมากมายไม่อาจเดินหน้า เพื่อบ้านเมืองและประชาชน กระหม่อมเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่จะแต่งตั้งผู้เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งทั้งสองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจ้องมองฉินเทียนหู่ ความรู้สึกในใจหลากหลายซับซ้อน
เมื่อคราวเผชิญหน้ากับการรุกรานของเป่ยตี๋ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกับฉินเทียนหู่คือสหาย ร่วมมือผลักดันสงคราม กล่าวได้ว่า เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน สนิทสนมใกล้ชิด และก็เพราะความสัมพันธ์อันดีกับฉินเทียนหู่ ฮ่องเต้ต้าเหลียงถึงได้เรียกใช้ฉินเฟิง ทำให้นายน้อยผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่แห่งเมืองหลวงค่อย ๆ มีอำนาจ จนตระกูลฉินมีอำนาจล้นฟ้าอย่างวันนี้
แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้ต้าเหลียงไม่อจโทษผู้ใด ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเขาเองที่มั่นใจเกินไป คิดว่าด้วยอำนาจของฮ่องเต้จะควบคุมใครก็ได้ทั้งนั้น
เผลอลืมคำกล่าวที่ว่าเหนือคนเก่งยังมีคนที่เก่งกว่า เหนือท้องฟ้าก็มีท้องฟ้าที่สูงกว่าไปเสียสนิท
ฮ่องเต้ต้าเหลียงเศร้าใจนักเมื่อมองไปยังเสนาบดีผู้เคยจงรักภักดี ทว่าบัดนี้เพื่อผลประโยชน์ถึงกับนำกลุ่มขุนนางมาบีบบังคับเขา
“ใต้เท้าฉิน เจ้าร้อนใจเพียงนี้เชียวหรือ?”
ได้ยินพระสุรเสียงของฮ่องเต้ต้าเหลียง แววตของฉินเทียนหู่ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ