บทที่ 742 กองทัพกบฏยอมจำนน
ชั่วพริบตา กองทหารม้าเป่ยตี๋สองพันคนที่ยอมจำนนก็ถูกพลธนูเป่ยซีล้อมไว้อย่างแน่นหนาเพื่อความปลอดภัย แล้วฉินเฟิงก็ย้ายกองทหารม้าหนึ่งพันคนจากค่ายที่สองมาสมทบ
ถ้ากองทัพศัตรูแกล้งยอมจำนวน ด้วยจำนวนทหารถึงสองพันคน อยู่ระยะประชิด และเป็ยเวลากลางคืนที่ค่อนข้างมืด ย่อมส่งผลกระทบต่อค่ายใหญ่อย่างคาดไม่ถึง
กระทั่งแน่ใจว่าศัตรูไม่มีทางต่อต้านได้ ฉินเฟิงค่อย ๆ ผ่อนหายใจโล่งอก แล้วส่งคนไปเจรจา
หลู่ฉือมองดูเหล่าทหารเป่ยซีที่ล้อมกองทัพของเขาแน่หนา ทั้งยังถืออาวุธครบมือ ท่าทางดุดัน เขากลืนน้ำลายอย่างตื่นตระหนก
เพื่อไม่ให้พวกฉินเฟิงเข้าใจผิด เขาสั่งทหารทิ้งอาวุธเพื่อแสดงให้กองทัพของฉินเฟิงประจักษ์ว่ายอมจำนน ตอนนี้ถูกทหารของฉินเฟิงถืออาวุธครบมือล้อมแน่นหนา ถ้าฉินเฟิงเกิดเปลี่ยนใจ ถึงตอนนั้น กองกำลังสองพันคนของเขาก็ไร้ทางต่อต้าน และยากที่จะรอด
นายประตูที่อยู่ข้าง ๆ เหงื่อท่วมหน้าด้วยความกังวล
“ท่านแม่ทัพ พวกเราเร่งร้อนออกมาเร็วเกินไป ไม่ได้ติดต่อกับคนของฉินเฟิงไว้ก่อน ถ้าฉินเฟิงกลับคำ เราอาจไร้โอกาสเจรจา เพื่อประหยัดค่าตอบแทน เขาอาจจะฆ่าพวกเราทุกคนก็ได้นะขอรับ”
หลู่ฉือก็กังวลเรื่องนี้อยู่ แต่มาถึงขั้นนี้ก็ได้แต่กัดฟันทนไว้ก่อน
“ช่วยไม่ได้ โอกาสที่หม่าถิงอวิ๋นจะละสายตาจากเรามีไม่มาก ถ้าเขารู้ตัวว่ามีการเคลื่อนย้ายกำลังทหาร การออกจากเมืองก็จะเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน”
“ตอนนี้ได้แต่ภาวนาให้ฉินเฟิงรักษาสัญญาเท่านั้น”
เหล่าทหารเป่ยตี๋กำลังหวาดหวั่น ขุนพลหยาเจี้ยงสวมชุดทหารเป่ยซีก้าวเข้ามา แล้วถามเสียงเย็นชา “ผู้มาเยือนคือใคร?”
หลู่ฉือไม่กล้าลังเล รีบตอบกลับ “ข้าคือแม่ทัพกองกองทัพที่สาม ผู้บัญชาการกองกำลังเคลื่อนไหวแนวหน้าปีกขวาของชายแดนใต้เป่ยตี๋ นามหลู่ฉือ!”
ขุนพลหยาเจี้ยงของเป่ยซีรู้จักดี ด้วยกองทัพปีกขวาคือกำลังเสริมที่เป่ยตี๋ส่งมาสมทบยังแนวหน้าอย่างเร่งด่วนในช่วงสงครามระหว่างแคว้น
หลังสงครามสิ้นสุด กองกำลังหลักถูกเรียกกลับไปพักฟื้น เหลือกองทัพปีกขวาที่เข้าร่วมสมรภูมิทีหลังไว้ป้องกัน
ขุนพลหยาเจี้ยงเดินจากไปโดยไม่กล่าวอะไร กระทั่งยืนยันได้ว่าข้อมูลของหลู่ฉือไม่ใช่ความเท็จ มีแม่ทัพนามหลู่ฉืออยู่จริงในกองกำลังเคลื่อนไหวปีกขวา เขาจึงกลับมา
“ในเมืองยังมีทหารรักษาการณ์กี่มากน้อย?”
เมื่อยอมจำนน ลู่ฉือย่อมบอกทุกอย่างที่รู้โดยไม่ปิดบังแม้จะเป็นความลับทางการทหาร
“เดิมกำลังทหารทั้งหมดเหลือหกพันแปดร้อยคน กองทหารม้าที่ข้านำออกมามีสองพันคน ในเมืองยังเหลืออีกสี่พันแปดร้อยคน”
ขุนพลหยาเจี้ยงจดบันทึกข้อมูล แล้วถามต่อ “เสบียงในเมืองจะอยู่ได้อีกนานเท่าไร?”
ลู่ฉือตอบทันที “หลังถูกโจมตีด้วยไฟ เกิดการสูญเสียหนัก อาหารยังพอจะอยู่ได้อีกสองปี น้ำยังพออยู่ได้ราวสองเดือน”
“นอกจากนี้ คลังอาวุธแห่งหนึ่งถูกไฟไหม้ อุปกรณ์ที่เสียหายส่วนใหญ่เป็นเกราะ”
“ในเมืองยังมีลูกธนู ท่อนไม้ และก้อนหินอยู่มาก”
“ขวัญกำลังใจของทหารรักษาการณ์ตกต่ำ แต่มีแม่ทัพหม่าถิงอวิ๋นคอยควบคุม ทำให้ยังพอรักษาสถานการณ์ไว้ได้”
ขุนพลหยาเจี้ยงพยักหน้า หมุนตัววิ่งกลับไป นำข้อมูลทั้งหมดไปรายงานต่อฉินเฟิง
ฉินเฟิงกับหนิงหู่วิเคราะห์กันอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็ลงความเห็นว่าข้อมูลน่าจะเป็นจริง แม่ทัพหลู่ฉือยอมจำนนจริง ๆ
ฉินเฟิงยินดีนัก “เร็วเข้า รีบเชิญแม่ทัพหลู่เข้ามา!”
ขุนพลหยาเจี้ยงรับคำสั่ง เขาวิ่งกลับไปหาหลู่ฉือ ท่าทีเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าประดับยิ้มกว้าง
“ขอแม่ทัพหลู่อย่าได้ถือสา นายน้อยฉินของข้าแค่ระมัดระวัง ก่อนจะยืนยันตัวตนของ ท่านแม่ทัพได้ ไม่กล้ารับรองอย่างง่ายดาย”
“แม่ทัพหลู่โปรดลงจากหลังม้าเถิด ข้าจะนำทางท่านไปพบนายน้อยฉินขอรับ”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ