บทที่ 774 ปราบกบฏหรือสละบัลลังก์
ไม่ว่าจะด้านสถานะหรือตำแหน่ง โจวเจิ้นไห่เหนือกว่าจ้าวอวี้หลงมาก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับจ้าวอวี้หลง โจวเจิ้นไห่กลับไม่มีความมั่นใจ
ด้วยเบื้องหลังของเขามีฉินเฟิงสนับสนุน ไหนจะมหาเสนาฉิน และผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์อย่างจ้าวหลีผู้เป็นบิดาของเขาอีก
กล่าวได้ว่า ในหมู่ทายาทตระกูลแม่ทัพ จ้าวอวี้หลงขึ้นเป็นที่หนึ่งอย่างเด่นชัด ผู้อื่นล้วนต้องเงยหน้ามอง
โจวเจิ้นไห่อดถอนหายใจไม่ได้ ครั้งหนึ่งเมื่อเจอเขาแม้แต่ฉินเฟิงก็ยังต้องค้อมตัวอยู่บ้าง แต่บัดนี้ กระทั่งแม่ทัพข้างกายฉินเฟิงก็ยังไม่แยแสเขา
ชัดเจนว่าสถานะขององครักษ์หลวงตกต่ำ และถ้ากล่าวให้ลึกจริง ๆ ก็คือ อำนาจของราชวงศ์หลี่ลดลงไปมาก
ช่วงเวลาเดียวกัน ภายในห้องทรงพระอักษร
ฉินเทียนหู่คุกเข่าคำนับฮ่องเต้ต้าเหลียง “ถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ต้าเหลียงยืนอยู่หลังโต๊ะทรงงาน ทอดพระเนตรฉินเทียนหู่ที่กำลังคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาสับสนอยู่บ้าง ไม่คาดคิดว่าตนเองที่เป็นฮ่องเต้ผู้ครองแผ่นดินจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
ตระกูลฉินที่เคยถูกเขากดดันรอบด้านกลับกลายเป็นขุนนางผู้ภักดี
“ใต้เท้าฉินลุกขึ้นเถิด เจ้ารู้เหตุร้ายนี้ได้อย่างไร?”
เมื่อฮ่องเต้ต้าเหลียงถาม ฉินเทียนหู่ย่อมไม่ปิดบัง เขาตอบตรงไปตรงมา “ทูลฝ่าบาท ก่อนฉินเฟิงออกจากเมืองหลวง เขาเตือนกระหม่อมไว้ว่าอาจการเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง แต่ด้วยเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ กระหม่อมไม่กล้าชี้แจงก่อน ได้แต่คอยสังเกตการณ์และเฝ้าระวังจึงได้ลงมือได้ทัน”
ได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้ต้าเหลียงพลันแสบจมูกขึ้นมา ตระกูลฉินมีอำนาจล้นฟ้า แต่ยังไม่ลืมตอบแทนความเมตตาของเขา แค่นี้ก็เพียงพอให้ฮ่องเต้ต้าเหลียงละทิ้งความขุ่นเคืองในอดีตแล้ว
ฮ่องเต้ต้าเหลียงเดินเอามือไพล่หลังออกมาจากหลังโต๊ะ ถอนหายใจยาวแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าฉิน เจ้าบอกเจิ้นสิ บัลลังก์นี้ช้าเร็วก็ต้องตกเป็นขององค์ชายเจ็ด เหตุใดเขาต้องรีบร้อนนัก? อย่างมากก็รออีกสิบปีแปดปี เจิ้นย่อมต้องส่งมอบบัลลังก์ให้ ถึงตอนนั้น เขาก็จะได้ขึ้นครองแคว้นต้าเหลียงอย่างชอบธรรม”
“แต่เขากลับเลือกเสี่ยงอันตราย ถึงจะได้บัลลังก์ไปก็ต้องแบกรับคำครหาว่าได้ตำแหน่งมาโดยมิชอบ”
“เจิ้นคิดว่าได้พบเจอผู้คนมามาก เชี่ยวชาญในการคาดเดาจิตใจผู้อื่น แต่กลับมองจิตใจของลูกแท้ ๆ ไม่ออก ช่างน่าขันจริง ๆ”
ฉินเทียนหู่รับรู้ถึงความเศร้าที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของฮ่องเต้ต้าเหลียงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ฝ่าบาท เรื่องภายในครอบครัวของพระองค์ กระหม่อมไม่ควรพูดมาก”
ฮ่องเต้ต้าเหลียยิ้มขื่น “ใต้เท้าฉิน เจ้าก็มองเจิ้นเป็นคนนอกด้วยหรือ? ถ้าฉินเฟิงอยู่ในเมืองหลวง เจิ้นก็ยังมีคนให้เปิดอกพูดคุย แต่ฉินเฟิงต้องแบกรับภาระหนักอยู่ต่างแคว้น ภายใน เมืองหลวงเหลือเพียงเจิ้นและเจ้า”
คำพูดของฮ่องเต้ต้าเหลียงนับว่าเป็นการแสดงจุดยืน ตอนนี้ในราชสำนักนอกจากฝ่ายสนับสนุนฮ่องเต้ คนที่ยังไว้ใจได้มีเพียงคนตระกูลฉิน
ฮ่องเต้ต้าเหลียงกล่าวเช่นนี้ ฉินเทียนหู่ย่อมใจอ่อน เขาตอบเสียงเบา “เรื่องนี้บุตรของกระหม่อมเคยพูดอยู่บ้าง”
“ถ้าไม่มีตระกูลฉินของกระหม่อมองค์ชายเจ็ดที่ยังเยาว์คงรอได้ อย่าว่าแต่แปดปีสิบปี ต่อให้รออีกยี่สิบสามสิบปีจะเป็นไรไป ทว่าองค์ชายเจ็ดหวาดระแวงตระกูลฉิน กลัวว่าหลังได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ อำนาจตระกูลฉินจะไม่อาจควบคุม อำนาจฮ่องเต้ถูกบั่นทอน จึงหวังตัดไฟเสียแต่ต้นลม”
คำพูดแผ่วเบาทว่าตรงไปตรงมา กล่าวให้ไม่มีความผิดคือเปิดอกคุย กล่าวให้ร้ายแรงคือดูหมิ่นราชวงศ์ รนหาที่ตาย
โชคดีฮ่องเต้ต้าเหลียงเข้าใจความซับซ้อนของตระกูลฉินจึงไม่ถือสา
“ก็จริง บัดนี้ต้าเหลียงแบ่งออกเป็นห้าฝ่าย”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ