บทที่ 780 บทกวีตลก
หอวรรณศิลป์ แม้มีเพียงสามชั้น แต่สำหรับยุคสมัยที่นิยมใช้โครงสร้างไม้เป็นหลักก็นับว่าเป็นหอสูงใหญ่ทีเดียว
ด้วยโครงสร้างไม้ไม่อาจสร้างให้สูงเกินไปได้
ในฐานะหอที่สูงที่สุดในเมืองอวี่ ที่นี่จึงเป็นสถานที่นิยมของเหล่าบัณฑิตและสตรีงามที่อยากแสดงรสนิยมอันสูงส่ง และวันนี้หอวรรณศิลป์ก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คน
เหล่าบัณฑิตที่มีชื่อเสียงต่างมารวมตัวกันที่หอวรรณศิลป์เพื่อร่วมสนุก แม้แต่ถนนและหอสุราฝั่งตรงข้ามก็เต็มไปด้วยผู้คน บรรยากาศคึกคักอย่างยิ่ง
คนเหล่านี้มีเป้าหมายเดียวกันคือ การได้เห็นกับตาว่า ฉินเฟิงอับอายขายหน้าอย่างไร
บัณฑิตหลายคนที่มีฐานะต่ำต้อย ไม่ได้มีชื่อเสียงนัก ไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้าไปในหอ ก็มายินรวมกันอยู่หน้าประตูใหญ่ ส่ายหน้าไปมาอย่างจริงจัง
“พี่เฉิน การที่นกกระเรียนขาวแห่งเมืองอวี่เราจัดงานประลองวรรณกรรมกับฉินเฟิงที่หอวรรณศิลป์คราวนี้ ท่านคิดว่ามีโอกาสชนะสักกี่ส่วน?”
บัณฑิตเฉิน แม้อากาศจะหนาวเย็น ก็ยังโบกพัดในมือ แสดงท่าทีของ ‘นักกวี’
“ฉินเฟิงมีชื่อเสียงโด่งดัง บทกวีออกด่านของเขาสร้างความตื่นตะลึงไปทั่วทิศ และได้บรรจุเข้าไปในรวมบทประพันธ์ชื่อดังร่วมสมัย คนธรรมดาทั่วไปย่อมไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเขา”
“แต่หลี่อวี่หังก็ไม่ใช่คนธรรมดา ในฐานะกระเรียนขาวแห่งเมืองอวี่ ความรู้ด้านวรรณกรรมของเขานับว่าเป็นยอดฝีมือในหมู่คนหนุ่มสาว หากไม่ใช่เพราะเกิดในตระกูลยากจน เกรงว่าคงได้เข้าเมืองหลวงรับราชการไปนานแล้ว”
“ยิ่งไปกว่านั้น การประลองวรรณกรรมมีทั้งหมดห้าด่าน นอกจากหลี่อวี่หัง ก็ยังมีบัณฑิตและสตรีเลอโฉมทั้งห้าคอยรักษาแต่ละด่าน แม้ฉินเฟิงจะมีความสามารถล้ำเลิศ แต่การจะผ่านห้าด่าน เอาชนะหกขุนพล ยากเย็นเสียยิ่งกว่าการขึ้นสวรรค์”
“ตามความเห็นของข้า วันนี้ฉินเฟิงจะต้องอับอายขายหน้าอย่างแน่นอน!”
ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ เลือดเดือดพล่าน ตอนได้ยินว่าฉินเฟิงเป็นทูตต้าเหลียงที่จะมาเยือนเป่ยตี๋ ทั้งราชสำนักและประชาชนต่างก็ไม่พอใจ อยากจะสับเจ้าหัวสุนัขฉินเฟิงเป็นชิ้น ๆ
แต่การแก้แค้นฉินเฟิงได้ก็เป็นเพียงความฝัน ไม่มีทางเป็นจริงได้
ทว่าวันนี้กลับมีโอกาส
แม้เป็นเพียงการประลองด้านวรรณกรรม แต่การทำลายเกียรติยศอันสูงส่งของฉินเฟิงในฐานะบัณฑิต นอกจากจะเชิดชูเกียรติภูมิของเป่ยตี๋แล้ว ยังเป็นการลดทอนอิทธิพลของ ฉินเฟิงด้วย นับว่าได้ประโยชน์สองทาง
ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะระบายความแค้นให้สาสมแล้ว
ขณะนั้นเอง เสียงอึกทึกดังมาจากทางประตูเมือง สายตาของทุกคนจับจ้อง ชายหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งเดินสง่าผ่าเผยเข้ามาภายใต้การคุ้มกันของทหารหลายนาย
แม้ผู้คนเกือบทั้งหมดจะเพิ่งเคยเห็นชายผู้นี้เป็นครั้งแรก
แต่จากเสียงสาปส่งและถ่มน้ำลายที่ดังขึ้นก็เข้าใจแล้ว ชายหนุ่มที่ดูเหมือน ‘นายน้อยเจ้าสำราญ’ ผู้นี้ก็คือฉินเฟิง ผู้ที่ทำให้เป่ยตี๋ต้องทุกข์ทรมาน
ก่อนหน้านี้พวกเขาเตือนตัวเองไม่หยุดว่าจะต้องแสดงท่าทีของแคว้นใหญ่ให้ดี
แต่พอเห็นฉินเฟิง ความตั้งใจก็พังทลาย แต่ละคนสาดเสียงตะโกนด่าทอใส่ไม่ยั้ง
“เจ้าสารเลวฉินเฟิง ถ้าเจ้าไม่ตายก็นับว่าไม่มีความยุติธรรม!”
“ไอ้หัวสุนัขช่างกล้ามาจริง ๆ เป่ยตี๋เราอยากฉีกเนื้อ ดื่มเลือดเจ้าเสียนัก!”
“อะไรกัน เจ้าขี้ข้าต้าเหลียง เทียนลู่โหวก็แค่ไอ้เด็กเหลือขอเท่านั้นเอง!”
“ฮึ ได้ยินมาร้อยครั้งก็ไม่เท่าได้เห็นกับตาครั้งเดียว ท่าทางหยิ่งผยองนั่น ข้าละอยากจะฆ่ามันเสียกลางถนน”
“เจ้าคนไร้ยางอาย อยู่ในเป่ยตี๋ยังกล้าวางท่าอวดดี ช่างรนหาที่ตายนัก”
ท่ามกลางเสียงด่าทอรอบด้านของฝูงชนที่บ้าคลั่ง ฉินเฟิงยิ้มแย้ม ไม่สะทกสะท้าน

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ