บทที่ 782 ต่อกวีบังคับกฎ
‘หลาง’ เป็นคำเรียกชายหนุ่มที่มีความสามารถ บัญฑิตหนุ่มแซ่หลิวผู้นี้เป็นที่รู้จักในเมืองอวี่ว่าเป็นชายหนุ่มรูปงาม ไม่อย่างนั้นคงไม่ดึงดูดสาว ๆ มากมายให้ส่งเสียงชื่นชม
บรรดาหญิงสาวที่มาเพราะชื่อเสียงของเขา มีกระทั่งคุณหนูจากตระกูลคหบดี แม้ไม่บ้าคลั่งเหมือนสาวชาวบ้าน แต่สายตาก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึก พวกนางกระซิบพูดคุยกันเบา
“หลิวหลางอายุยังน้อย ทั้งยังหน้าตาดี ที่สำคัญคือสอบขุนนางได้แล้ว อนาคตไกลแน่นอน อีกไม่นานอาจจะกลายเป็นหลี่อวี่หังคนที่สอง”
“เทียบกับฉินเฟิง แม้เขาจะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่ชื่อเสียงไม่ดี ผู้คนไม่ชอบ”
ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบข้าง หลิวหลางก็ยิ่งเชิดหน้าสูง สีหน้าภาคภูมิใจและหยิ่งผยอง ราวกับว่าตนเองเป็นขุนนางที่มีสถานะเหนือกว่าฉินเฟิง
หนิงหู่ที่ติดตามคุ้มกันฉินเฟิงมาอดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก พึมพำเบา ๆ “สตรีเมืองอวี่ตามืดบอดไปหมดแล้วหรือ?”
“พี่ฉินเป็นถึงท่านโหวอันดับหนึ่งของใต้หล้า ผู้ปกครองชายแดนเหนือต้าเหลียง นอกจากมีอำนาจในมือ ก็ยังเป็นหนึ่งในสิบพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดของต้าเหลียง ความสามารถด้านวรรณกรรมก็เลื่องลือ ผลงานยิ่งใหญ่มากมายเช่นนี้กลับถูกเรียกว่ามีความสามารถอยู่บ้างหรือ? ฮึ่ม มีตาหามีแวว แม้แต่สมองก็ใช้การไม่ได้แล้ว”
ฉินเฟิงตบไหล่หนิงหู่เบา ๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำตัวเหมือนสตรีขี้บ่น
พูดตามตรง เทียบกับบรรยากาศเคร่งครัดของแคว้นต้าเหลียงแล้ว ฉินเฟิงกลับชอบบรรยากาศเปิดกว้างของเป่ยตี๋มากกว่า อย่างน้อยเหล่าสาวงามในเมืองก็ไม่มีความกังวล โบกธงส่งเสียงชื่นชมคนที่ตนเอาใจช่วยได้เต็มที่ ภาพเช่นนี้หาดูได้ยากนักในต้าเหลียง
ประชาชนมีนิสัยห้าวหาญ ขณะเดียวกันก็เปิดกว้าง ทุกสิ่งล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสียจริง ๆ
หลิวจวี่เหรินประสานมือคำนับอย่างเสแสร้ง “ท่านโหวฉินพอจะรู้จักการละเล่นหนึ่งที่เรียกว่า ‘ต่อกวีบังคับกฎ’ หรือไม่?”
ภายใต้สายตาของทุกคน ฉินเฟิงไพล่มือไว้ด้านหลังข้างหนึ่ง เขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “การเล่น ‘ต่อกวีบังคับกฎ’ เป็นการละเล่นที่แพร่หลายมาจากต้าเหลียง ข้าเป็นคนต้าแคว้นเหลียงแท้ ๆ เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้จักหรือ?”
“เกรงว่าการละเล่นทางวรรณกรรมของเป่ยตี๋เกือบทั้งหมดก็มาจากแคว้นเหลียงกระมัง?”
สีหน้าของหลิวจวี่เหรินไม่สู้ดี แต่ก็ยังแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วพูดต่อไป “ในเมื่อท่านฉินโหวรู้จัก เช่นนั้นก็ง่ายแล้ว”
“อีกไม่กี่วันจะเข้าเหมันตฤดู ถึงเวลานั้นอากาศจะหนาวเหน็บ ทุกสิ่งเหี่ยวเฉา ชาวเป่ยตี้นับหมื่นต่างหวังให้วสันตฤดูมาเยือนโดยเร็ว กล่าวได้ว่า ‘วสันตฤดู’ รวมความปรารถนาอันเรียบง่ายที่สุดของผู้คนไว้”
“ด่านแรกของต่อกวีบังคับกฎจะใช้คำว่า ‘วันสันตฤดู’ เป็นหัวข้อ ข้าน้อยขอเริ่มก่อนเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ท่านโหวฉิน”
หลิวจวี่เหรินก็เดินไปมาในห้องโถงใหญ่ บางคราวก็เงยหน้าถอนหายใจ บางคราวก็ก้มหน้าครุ่นคิด ท่าทางแสดงถึงความเป็นบัณฑิตผู้สง่างาม ทำให้สตรีทั้งหลายยิ่งตื่นเต้น
พวกนางไม่รู้เลยว่า หลิวจวี่เหรินไม่สนใจสตรีสามัญ เพียงแต่เขารู้ว่าองค์หญิงจิ่งฉือกำลังมองอยู่จากหอสุราฝั่งตรงข้าม เลยต้องแสดงด้านที่ดูดีที่สุดออกมา หากสามารถทำให้องค์หญิงหลงใหลได้ โชคชะตาย่อมได้ก้าวกระโดด หลุดพ้นจากความต่ำต้อย
“โอ้ สมแล้วที่เป็นหลิวหลาง งดงามเหลือเกิน”
“ฮ่า ๆ นับแต่เมืองอวี่เริ่มนิยมการเล่นต่อกวีบังคับกฎ ก็แทบไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้คุณชายหลิวได้ แม้ฉินเฟิงจะเพียบพร้อมด้วยความรู้ พูดจาคล่องแคล่ว แต่เรื่องละเล่นการกวีและวรรณกรรมก็ยังไม่แน่ว่าจะชนะ”
“หากคุณชายหลิวเอาชนะฉินเฟิงได้ ชื่อเสียงย่อมเลื่องลือไปทั่วหล้า ถึงเวลานั้น ไม่จำเป็นต้องไปฝึกฝนที่กรมขุนนางก็สามารถเข้ารับราชการได้โดยตรง อนาคตรุ่งโรจน์แล้ว”
ท่ามกลางเสียงชื่นชมของผู้คน หลิวจวี่เหรินพยักหน้าพล่งกล่าวว่า “วสันต์ฉาบน้ำเป็นสีครามเชื่อมฟ้า”
กฎของการละเล่นนี้คล้ายกับการต่อคำ เริ่มจากเลือกหัวข้อ ในที่นี้คือ ‘วสันตฤดู’ แล้วทั้งสองฝ่ายจะแต่งบทกวีรอบ ๆ คำ โดยแต่ละคนแต่งหนึ่งประโยค ต่อกันไปเรื่อย ๆ
แต่ละประโยคต้องมีไม่เกินเจ็ดคำ และคำว่า ‘วันสันตฤดู’ ต้องเลื่อนไปข้างหลังทีละตำแหน่ง
ประโยคแรกคำว่า ‘วสันต์ฤดู’ อยู่ตำแหน่งแรก ประโยคที่สอง ‘วสันต์ฤดู’ ก็ต้องอยู่ตำแหน่งที่สอง เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ
หากผู้แต่งต่อไม่ได้ ก็ถือว่าแพ้


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ