บทที่ 783 คิดประลองการกวีกับข้า? ช่างรนหาที่เสียจริง
มือหลิวจวี่เหรินชุ่มเหงื่อ เขาเหลือเพียงประโยคสุดท้ายในมือ หากแต่งออกมาก็จะหมายถึงยังไม่อาจตัดสินแพ้ชนะ ต่อไปก็จะถึงคราวของฉินเฟิงเป็นผู้ออกหัวข้อ
แต่ท่ามกลางสายตามากมาย หลิวจวี่เหรินก็ไม่มีทางเลือก จำต้องฝืนใจอ่านกวีบทสุดท้ายที่เตรียมไว้ “พิรุณเขียวใบไม้แดงแย้มวสันต์…”
เสียงปรบมือดังก้องทั่วโถง ไม่มีใครล่วงรู้ถึงความรู้สึกอันซับซ้อนของหลิวจวี่เหริน ทุกคนรู้เพียงว่าการประลองคราวนี้ช่างน่าตื่นเต้น
สตรีที่รวมตัวกันอยู่นอกประตูมองด้วยสายตาชื่นชม
“โอ้ หลิวหลางช่างเก่งกาจ แม้เผชิญหน้ากับฉินเฟิงก็ยังสามารถรับมือได้คล่องแคล่ว เหมือนว่าการประชันวรรณกรรมวันนี้คงไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นออกโรงแล้ว”
“ถูก…พูดถูกต้อง เพียงหลิวหลางคนเดียวก็เพียงพอ”
“หลังจากวันนี้ แม้หลิวหลางจะไม่ชนะ แต่ก็พอจะเป็นตำนานอันงดงามแล้ว”
“อะไรกัน ไม่ชนะหรือ? ข้าว่าคุณชายหลิวต้องชนะแน่ พวกเจ้าลืมไปหรือว่าคุณชายหลิวเป็นคนเริ่ม เขาเลยได้แต่งกวีสี่ประโยค ส่วนฉินเฟิงแต่งเพียงสามประโยค ไม่เท่ากับหลิ่วหลางชนะแล้วหรือไร”
“อย่าเพิ่งรีบร้อน รอบแรกยังไม่อาจตัดสิน ต่อไปจะถึงคราวฉินเฟิงออกหัวข้อ คราวนี้เขาก็ต้องแต่งสี่ประโยคเช่นกัน”
“แม้ข้าจะคิดว่าไม่จำเป็นต้องเสียเวลา ด้วยอย่างไรฉินเฟิงก็ต้องแพ้ แต่เพื่อชมชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ของคุณชายหลิว ข้าก็ขอชมอีกสักรอบเถิด”
ผู้คนที่มาชุมนุมมองฉินเฟิงด้วยสายตาภาคภูมิใจ มีเพียงหลิวจวี่เหรินที่กดดันจนมือเปียกชุ่ม
ทั้งหอวรรณศิลป์มีเพียงหลิวจวี่เหรินที่รู้ดีว่า ความสามารถทางการกวีของฉินเฟิงน่าเกรงขามเพียงใด
ด้วยการใช้ความตั้งใจเอาชนะความไม่ตั้งใจ ผลลัพธ์คงถูกฉินเฟิงรับมือได้อย่างง่ายดาย หลิวจวี่เหรินรู้ว่าตนพ่ายแพ้แล้ว แต่ท่ามกลางสายตามากมาย เขาต้องฝืนทน
ฉินเฟิงยังคงวางท่าเฉยเมย ไม่ได้ใส่ใจกับการประลองวรรณศิลป์ครั้งนี้แม้แต่น้อย
“ฮ่า ๆ ชีวิตนับล้านของเป่ยตี๋ต่างโหยหาสายลมแห่งวสันตฤดู หวาดกลัวความหนาวเหน็บ เช่นนั้น ข้าจะใช้คำว่า ‘เหมันตฤดู’ เป็นหัวข้อ”
รู้ถึงจุดอ่อนของเป่ยตี๋ แต่กลับโรยเกลือลงบนแผล สมแล้วที่เป็นฉินเฟิง!
ผู้คนต่างดูแคลนและรังเกียจ
บางคนถึงกับสะบัดแขนเสื้อ ตวาดสั่น “ฮึ่ม! เจ้าสารเลวฉิน คิดแต่จะทำลายเป่ยตี๋ของพวกข้าอย่างนั้นหรือ?!”
ฉินเฟิงเพิกเฉยต่อความเกลียดชังรอบข้าง แย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “ตามกฎแล้ว ข้าออกหัวข้าก็เป็นคราวข้าเริ่ม เช่นนั้นข้าจะขอกล่าวประโยคแรกว่า เหมันต์เยือนบ่อไร้น้ำแข็ง”
ฉินเฟิงทำท่าเชิญ แสดงว่าไม่จำเป็นต้องตระหนี่ถ้อยคำ เพียงแต่ตบหน้าตัวเองก็พอ
หลิวจวี่เหรินเดิมคิดว่าฉินเฟิงจะทนไม่ไหวแม้แต่รอบแรก จึงไม่ได้เตรียมรอบที่สอง อีกทั้งก็เตรียมไม่ได้เพราะรอบที่สองต้องเป็นฉินเฟิงออกหัวข้อ ต่อให้เขาเก่งกาจ ก็คาดเดาความคิดของฉินเฟิงไม่ได้
เหมันตฤดู…
บทกวีตอบกลับ อักษรที่สองต้องเป็นคำว่าเหมันตฤดู
ภายใต้สายตาตื่นเต้นของผู้คน หลิวจวี่เหรินกลืนน้ำลายเหนียวหนืด สมองปั่นทำงานจนแทบไหม้ หลังผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ก็มีเค้าโครง
“ต้นฤดูเหมันต์วันที่ยี่สิบห้า…”
ได้ยินคำตอบของหลิวจวี่เหริน เหล่าสตรีต่างส่งเสียงชื่นชม แต่เหล่าบัณฑิตกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย อดไม่ได้ที่หันไปซุบซิบกัน
“ไม่ต้องพูดถึงว่าใช้เวลานาน ‘ต้นฤดูเหมันต์วันที่ยี่สิบห้า’ ถ้าอยู่ในบทกวีก็ไม่เป็นไร แต่พอแยกออกมาต่างหาก ราวกับว่า… ยังขาดบางอย่าง”
“ถูกต้อง ฝืนไปหน่อย”
ยกเว้นพวกที่หลงใหลในรูปโฉมของหลิวจวี่เหรินจนตามืดบอด เหล่าบัณฑิตต่างเข้าใจแล้ว การประลองรอบนี้ หลิวจวี่เหรินเสียเปรียบ
ต้องรอดูว่าฉินเฟิงจะแสดงออกอย่างไรต่อ
ไม่ผิดคาด ฉินเฟิงยังคงไม่ต้องคิด สามารถต่อกวีได้ทันที “เกรงกลัวเหมันต์ฤดูไร้หิมะ”
ทั่วทั้งหอวรรณศิลป์ไม่มีผู้ใดปรบมือ แต่สายตาที่มองฉินเฟิงกลับเคร่งขรึม เพราะฉินเฟิง ตอบเร็วนัก และในแง่คุณค่าของกวีก็ทิ้งห่างหลิวจวี่เหรินไปโข
แล้วสายตาของทุกคนก็หันไปรวมอยู่ที่หลิวจวี่เหริน
หลิวจวี่เหรินเหงื่อซึมไปทั่วแผ่นหลัง กัดฟันแน่น ครุ่นคิดหนัก
“ช่าง…ช่างเหมือนกับเหมันตฤดูปีนี้”
หลิวจวี่เหรินต่อ แต่ความงามของกวีเพียงพอใช้ได้ ทั้งยังใช้เวลาเกือบหนึ่งก้านธูปทีเดียว


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ