บทที่ 790 ภาพเขียนอันน่าทึ่ง
จ้าวฮ่วนซูเกลียดชังฉินเฟิงสุดหัวใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่านโยบายการปกครองของฉินเฟิงเปลี่ยนมุมมองของเขาโดยสิ้นเชิง
หากต้องการใช้เงินซื้อตัวผู้ปกครองที่ร่ำรวยก็ต้องเตรียมใจที่จะเสียเลือดเนื้อ
จ้าวฮ่วนซูไม่ใช่คนโง่ แม้เงินหนึ่งแสนตำลึงจะมากมาย แต่บางอย่างก็ควรจ่ายโดยไม่ต้องประหยัด
ถ้ามัวประหยัดเงินหนึ่งแสนตำลึงปล่อยให้ฉินเฟิงโอ้อวดต่อ ถึงเวลาฮ่องเต้เป่ยตี๋พิโรธ จ้าวฮ่วนซูคงแบกรับชะตากรรมไม่ไหว
เขากัดฟันพูดว่า “หนึ่งแสนก็หนึ่งแสน ขอเพียงสามารถส่งเจ้าตัวอัปมงคลฉินเฟิงออกไปได้ ข้า จ้าวฮ่วนซู ยอมกรีดเลือดเฉือนเนื้อ!”
จ้าวฮ่วนซูส่งเจ้าหน้าที่ให้นำเงินไปส่งเงินนอกเมือง อีกด้านหนึ่งก็ส่งคนไปจับตาดูที่หอวรรณศิลป์
ขณะนี้ที่หอวรรณศิลป์ เสียงอื้ออึงดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
โจวอวี้ไห่ผู้คุมด่านที่สี่เป็นจิตรกรอันดับหนึ่งของเมืองอวี๋ เขารู้ดีว่า ความสามารถด้านการกวีและงานเขียนของฉินเฟิงเป็นเลิศกว่าผู้ใด การเปรียบงานวรรณกรรมกับฉินเฟิงก็เหมือนกับเอาไข่ไปชนหิน
เมื่อพบฉินเฟิง โจวอวี้ไห่จึงยกเขาไว้สูง ทำให้ฉินเฟิงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องแข่งเขียนภาพกับเขา
ขอเพียงสามารถเอาชนะได้สักครั้ง โจวอวี้ไห่ไม่สนใจว่าจะเป็นชัยชนะที่ไม่ยุติธรรมหรือไม่
เพราะเพียงแค่ชนะก็สามารถเขียนเรื่องราวได้อย่างยิ่งใหญ่แล้ว
ภาพ ‘เหยียบทุ่งหิมะตามหาดอกเหมย’ ที่โจวอวี้ไห่วาดได้รับเสียงปรบมือกึกก้อง เขาพลันคิดว่าตนเองได้ชัยชนะมาไว้ในมือแล้ว ครั้นมองฉินเฟิงหยิบก้อนหมึกขึ้นมาลวก ๆ แล้วขีดเขียนบนกระดาษเซวียน ปากของโจวหยูไห่ก็ค่อย ๆ อ้ากว้างจนยัดไข่เข้าไปได้ทั้งฟิง
“นี่… นี่ภาพเขียนหรือ?!”
น้ำเสียงของโจววอี้ไห่ชัดเจนว่าตกตะลึง และผู้ชมเองก็ขนลุกซู่ ในสายตาของพวกเขา สิ่งที่ฉินเฟิงกำลังทำนับว่าเป็นทักษะชั้นสูง
ฉินเฟิงจดจ่อ นึกถึงการพบกันครั้งแรกกับจิ่งฉือ อาศัยพื้นฐานการเขียนภาพขั้นพื้นฐานรวมเส้นง่าย ๆ มากมายเข้าด้วยกันเป็นภาพคน บางครั้งก็ใช้นิ้วลูบไปบนเส้นสร้างแสงเงา
ใช้คำว่า ‘ขั้นพื้นฐาน’ อธิบายระดับฝีมือการวาดของฉินเฟิงอาจจะเป็นการเกินจริงไปสักหน่อย
ด้วยเขาไม่มีพื้นฐานบ้าบอทั้งนั้น เพียงแต่ในชีวิตก่อนอยากจีบสาวเลยไปเรียนเขียนภาพอยู่ช่วงหนึ่ง
ผลคือ…จีบสาวไม่สำเร็จ พอลืมตาอีกทีก็อยู่โลกนี้แล้ว
หากเป็นผู้ที่รู้เรื่องการเขียนภาพสักหน่อย พอเห็นภาพวาดของฉินเฟิงคงอยากตบบ้องหูให้เต็มแรง แล้วก่นด่าว่าฉินเฟิงดูหมิ่นการเขียนภาพ
แม้ในยุคนี้จะมีภาพเหมือนอยู่บ้าง แต่ไม่ว่าจะเหมือนแค่ไหนก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการผสมผสานอารมณ์ผู้เขียนภาพเข้าไป โดยเฉพาะการเขียนภาพคนซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่สุด อีกทั้งด้วยลักษณะเฉพาะของการวาดด้วยพู่กันจีน…การวาดด้วยพู่กันไม่อาจเขียนภาพให้เหมือนจริงได้
“เสร็จแล้ว”
ฉินเฟิงโยนก้อนหมึกทิ้ง คว้ากระดาษเซวียนอีกแผ่นมาเช็ดรอยหมึกดำบนมือ มองภาพคนที่ตนวาดไม่ได้สัดส่วน แต่กลับพยักหน้าอย่างไม่รู้จักอาย ท่าทีภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
แม้ฉินเฟิงจะรู้ว่าตนไม่มีพรสวรรค์ด้านการเขียนภาพแม้แต่น้อย แต่ถึงแพ้แล้วอย่างไร…บุรุษไม่มีวันพูดว่าทำไม่ได้!
ฉินเฟิงมองไปยังภาพ ‘เหยียบทุ่งหิมะตามหาดอกเหมย’ ของโจวอวี้ไห่ พลันก็ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
“ภาพเขียนนี้เทียบได้กับผลงานชิ้นเอกที่ประณีตดุจเทพสร้าง หากสืบทอดไปถึงคนรุ่นหลังมูลค่าย่อมมหาศาล”
แล้วเขาก็หันกลับมามองภาพวาดลายเส้นบิดเบี้ยวของตน รู้สึกขบขันนัก แต่ยังต้องรักษาท่าที ทำหน้านิ่งเฉยไว้
“ภาพของข้าก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ระดับอนุบาล”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ