บทที่ 791 เทพธิดาในภาพ
จ้าวฮ่วนซูยอมจ่ายเงินหนึ่งแสนตำลึงซื้อชื่อเสียง สำหรับฉินเฟิง เรื่องนี้ราวกับได้ขนมหวาน
ยังต้องคิดอีกหรือ? เขาย่อมตอบตกลงด้วยความยินดี
ขณะเดียวกัน ล่าวรับใช้ที่ขโมยภาพวิ่งไปยังหอสุราฝั่งตรงข้าม แล้วส่งมอบภาพให้แก่จิ่งฉือด้วยสองมือ
จิ่งฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูแคลนภาพในมือ เพราะนางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าฉินเฟิงเขียนภาพเป็น
แต่เมื่อคลี่กระดาษเซวียนออก จิ่งฉือก็ชะงัก
นางจ้องมองภาพของตนเองบนกระดาษ ใต้หล้านี้มีผู้เขียนภาพคนได้เหมือนจริงถึงเพียงนี้อยู่ด้วยหรือ?
แม้ภาพจะมีเพียงสีขาวดำ แต่กลับ…สมจริง
สองมือของจิ่งฉือที่ถือม้วนภาพสั่นเล็กน้อย นางจ้องมองอยู่นาน ก่อนจะถอนหายใจยาว “เพียงภาพเดียว ฉินเฟิงก็สามารถทำให้จิตรกรทั่วหล้ายอมจำนน…”
“แต่เหตุใดเขาไม่วาดคนอื่น ไยต้องวาดข้าด้วย?”
ขณะที่จิ่งฉือกำลังสับสน แววตาของฉีย่าที่อยู่ข้าง ๆ ก็ดุดันขึ้นมา
แม้นางจะตกตะลึงกับภาพตรงหน้าจนหัวใจเต้นระรัว แต่เมื่อคำนึงถึงเจตนาร้ายของฉินเฟิง นางก็กัดฟันกรอด
“องค์หญิง ท่านจำได้หรือไม่ว่าหนึ่งในค่าปฏิกรรมสงครามคือการอภิเษกสมรส?”
“ในสัญญาเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า เป่ยตี้ต้องส่งองค์หญิงหนึ่งคนไปยังแคว้นเหลียง”
ได้ยินแบบนี้ จิ่งฉือสั่นสะท้านไปทั้งตัว นางลุกพรวดเตรียมจะฉีกม้วนภาพทิ้ง แต่นางก็ทำไม่ลง
เลยได้แต่โยนม้วนภาพลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ จ้องมองฉินเฟิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามผ่านหน้าต่าง แล้วตวาดด้วยเสียงแหลม “เจ้าฉินเฟิงน่ารังเกียจ ข้ายอมตายเสียดีกว่าต้องไปแคว้นต้าเหลียง!”
“ฉีย่า เอาดาบของข้ามา วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าสารเลวต้องคุกเข่ายอมจำนน!”
ยามนี้ฉินเฟิงมาถึงด่านสุดท้ายของการประลองแล้ว ผู้คนห้อมล้อมแน่นขนัด
หลี่อวี่หังยืนอยู่หลังโต๊ะเขียนหนังสือ รอคอยมานานแล้ว
เขารู้ทุกการกระทำของฉินเฟิงในด่านก่อน ๆ เกรงว่าความสามารถด้านการกวีของเขาก็ไม่อาจเอาชนะฉินเฟิงได้
หลี่อวี่หังรู้ดี
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเปลี่ยนแผนกะทันหัน
“ความสามารถทางวรรณศิลป์ของท่านโหวฉิน หาผู้ใดเทียบได้ยากแล้ว ข้าขอยอมรับด้วยความจริงใจ”
“ถึงข้าจะโง่เขลาก็คงไม่โง่ถึงขนาดประชันบทกวีกับท่าน หรือจะกล่าวว่า… ข้าขอยอมแพ้ก็ไม่ผิด”
หลี่อวี่หังก็ประสานมือคำนับฉินเฟิงโดยไม่ลังเล
เดิมบรรดาบัณฑิตเฝ้ารอการประชันครั้งสุดท้ายด้วยความหวัง ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร การประชันระหว่างเทพกวีแห่งต้าเหลียงอย่างฉินเฟิง กับกระเรียนขาวแห่งเมืองอวี๋ก็จะกลายเป็นตำนานอันงดงาม
แต่หลี่อวี่หังกลับยอมจำนนกะทันหัน ทุกคนคาดไม่ถึงจริง ๆ
ก่อนที่ผู้คนจะทันได้ซักถาม หลี่อวี่หังก็รีบกล่าวตรงไปตรงมาว่า “อย่างไรก็ตาม ข้ายังพอมีความสามารถในการวิจารณ์อยู่บ้าง หากท่านโหวฉินประพันธ์บทกวีที่ไม่ด้อยไปกว่า ‘ออกด่าน’ ได้ ก็จะถือว่าท่านเป็นผู้ชนะ”
ได้ยินแบบนี้ ทุกคนจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
ที่แท้หลี่อวี่หังกำลังใช้กลยุทธ์ถอยเพื่อรุก ขุดหลุมพรางที่ใหญ่กว่ารอฉินเฟิง
บทกวี ‘ออกด่าน’ เป็นผลงานของฉินเฟิง ทว่าแพร่หลายไปทั่วหล้า เหล่าบัณฑิตยกย่องให้เป็นหนึ่งในบทกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัย
สถานะของบทกวีออกด่านในใจของเหล่าบัณฑิตแทบไม่อาจสั่นคลอนแล้ว
โจทย์ยากที่หลี่อวี่หังออก เกรงว่าแม้แต่ฉินเฟิงก็คงต้องยอมแพ้โดยสมัครใจ
ด้วยระยะเวลาสั้น ๆ ทั้งยังเป็นการแต่งสด การจะสร้างบทกวีชั้นเลิศแทบจะเป็นไปไม่ได้ และหากฉินเฟิงยอมแพ้โดยสมัครใจ บัณฑิตเมืองอวี๋ไม่เพียงจะได้ตีเสมอ แต่ยังสามารถฉวยโอกาสป่าวประกาศว่า ความสามารถทางวรรณกรรมของฉินเฟิงไม่ได้เลิศล้ำอย่างในคำเล่าลือ


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ