เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ นิยาย บท 794

บทที่ 794 ตัดลิ้นเขาซะ

เผชิญกับคำถาม หลิวเซิงราวกับได้รับความอัปยศอดสู ในใจของเขา ฉินเฟิงได้กลายเป็นบัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้ว เขารู้สึกว่า การดูหมิ่นฉินเฟิงของผู้คนนั้นเป็นการดูถูกวรรณกรรม

หลิวเซิงตวาดเสียงดัง “พวกเจ้าจงฟังให้ดี ข้าจะท่องบทกวี ‘ทำลายค่ายกล’ ของฉินเฟิงให้พวกท่านวิจารณ์!”

“ยามเมามายข้าชักดาบใต้แสงตะเกียง ฝันถึงเสียงแตรเรียกทัพในค่าย แปดร้อยลี้แบ่งทหารใต้บัญชา ห้าสิบสายพิณดังก้องนอกด่าน สนามรบฤดูใบไม้ร่วงเกณฑ์ทหาร!”

เมื่อหลิวเซิงท่องครึ่งแรกของบทกวี ถนนนอกประตูหอวรรณศิลป์วาดก็เงียบกริบ

แม้ผู้คนส่วนใหญ่จะเป็นสามัญชน แต่พวกเขาก็ได้รับการศึกษามาบ้าง มีความสามารถในการวิจารณ์วรรณกรรมพอสมควร

เพียงแค่ครึ่งแรกของบทกวีก็ทำให้ทุกคนตะลึง

“ยามเมามายข้าชักดาบใต้แสงตะเกียง ฝันถึงเสียงแตรเรียกทัพในค่าย วรรคแรกหกคำเห็นภาพวีรบุรุษ วรรคที่สองหกคำ กระตุ้นให้คนกล้าหาญ”

“โอ้ ช่างเป็นบทกวีที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ”

นักศึกษาที่แทรกตัวอยู่ในฝูงชนอุทานด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเปล่งประกาย

เขาจึงเข้าใจว่าทำไมแคว้นต้าเหลียงที่ให้ความสำคัญกับวรรณกรรมมากกว่าการทหาร จึงสามารถเอาชนะเป่ยตี๋ที่เตรียมพร้อมรบได้บนสนามรบ

เข้าใจมากขึ้นแล้วว่า เหตุใดอำเภอเป่ยซีเล็ก ๆ จึงสามารถทำให้ทหารหาญนับหมื่นของเป่ยตี๋ต้องกัดฟันจนฟันแทบแตก

เป็นความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นไร?!

เสียงอื้ออึงด้วยความตื่นตะลึงดังขึ้น สายตาของเหล่าบัณฑิตและผู้มีความรู้ไม่มีแววดูแคลน มีแต่ความนับถือยอมจำนน

ขณะนั้นเอง หลิวเซิงท่องต่อ “ม้าดำวิ่งเร็วปานสายฟ้า คันธนูสั่นสะเทือนไหว สำเร็จราชกิจใต้หล้าแล้ว ได้ชื่อเสียงทั้งยามเป็นและยามตาย น่าสงสารผมขาวที่งอกขึ้นมา!”

ฮือฮา…

เสียงสูดลมหายใจดังขึ้น ผู้คนตื่นเต้นจนตัวสั่น

ทุกคนรู้ดีว่าฉินเฟิงใช้บทกวี ‘ทำลายค่ายกล’ สรรเสริญความดุดันและเด็ดเดี่ยวของทหารแคว้นจ้าเหลียง แม้ชาวเป่ยตี๋ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามก็ยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชม

“ม้าดำวิ่งเร็วปานสายฟ้า คันธนูสั่นสะเทือนไหว… ข้ารู้สึกราวกับอยู่ในสนามรบแล้ว”

“ใช่แล้ว ข้าเห็นภาพ ศัตรูล้มจากหลังม้าระเนระนาด ทหารที่เหลือพ่ายแพ้ ถอยร่นอย่างอัปยศ แม่ทัพนำทัพบุกไล่ล่าติดตาม”

“สำเร็จราชกิจใต้หล้าแล้ว ได้ชื่อเสียงทั้งยามเป็นและยามตาย ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน!”

“หากจบลงเพียงเท่านี้ บทกวีก็สมควรได้รับการยกย่องว่าเป็นบทกวีที่ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าแล้ว แต่ประโยคสุดท้าย ‘น่าสงสารผมขาวที่งอกขึ้นมา’ กลับทำให้บทกวีนี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ยกระดับขึ้นไปอีก”

นักศึกษาหน้าแดงก่ำ เอ่ยเสียงดังว่า “น่าสงสารผมขาวงอกขึ้นมา เพิ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด แต่กลับตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ช่างเป็น… ความปรารถนาที่จะตายเพื่อบ้านเมืองแต่ไร้สนามรบ ห่อศพด้วยหนังม้าในราชสำนัก”

“บทกวี ‘ทำลายค่ายกล’ ไม่ด้อยไปกว่า ‘ออกด่าน’ เลย และบทกวีทั้งสองก็ล้วนเป็นฉินเฟิงที่แต่งขึ้น”

ชั่วขณะ เสียงฮือฮาดังขึ้น

สายตาของผู้คนมองไปยังทิศทางเดียวกันก็เห็นธิดาสูงศักดิ์คนหนึ่ง ใบหน้าน้อย ๆ แดงระเรื่อ ดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชม กำลังเดินออกมาจากหอวรรณศิลป์

แม้ทุกคนจะรู้ดีว่าการขวางทางสตรีโดยไม่มีเหตุผลเป็นการกระทำที่ไม่สุภาพ แต่เพื่อให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจึงจำใจขวางทางนางไว้

“คุณหนู ข้าขอคารวะ รบกวนถามท่าน เกิดอะไรขึ้นในหอวรรณศิลป์หรือ?”

เมื่อเผชิญกับคำถาม สตรีนางนั้นเม้มริมฝีปากบางเบา ดวงตาเป็นประกาย “ช่างน่าอิจฉาองค์หญิงเหลือเกิน…”

“ท่านโหวฉินไม่เพียงวาดพระพักตร์ของพระองค์อย่างไม่มีที่ติ แต่ยังแต่งบทกวีให้โดยเฉพาะ”

“สง่างามดั่งหงส์ที่ตื่นตระหนก อ่อนช้อยดั่งมังกรทะยาน รุ่งเรืองดั่งดอกเบญจมาศในฤดูใบไม้ร่วง สง่าดั่งต้นสนในฤดูใบไม้ผลิ ราวกับเมฆบางที่บดบังดวงจันทร์ ลอยละล่องดั่งหิมะในสายลม”

สายตาของนางเต็มไปด้วยความปรารถนา นางมาที่นี่เพื่อหลิวหลางในด่านแรก แต่ตอนนี้นางกลับเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น หัวใจและดวงตาของนางมัเพียงแต่ฉินเฟิง

ฉินเฟิงไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นคนรักหยดถนอมบุปผาด้วย*[1]

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ