บทที่ 805 ความวุ่นวายทั่วเมือง
เหล่าขุนนางกรมกลาโหมไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงเมื่อเห็นสีหน้าของเฉินซือที่ดูไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เสนาบดีกรมกลาโหมจางปิ่งกั๋วรีบโบกมือ ส่งสัญญาณให้เหล่าขุนนางถอยออกไปก่อน
เมื่อในห้องโถงเหลือเพียง ‘คนใน’ จางปิ่งกั๋วค่อย ๆ ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ทัพเฉิน แม้ทัพใหญ่ของพวกเราจะพ่าย แต่ศักดิ์ศรีของแคว้นไม่อาจละทิ้ง วันนี้ประชาชนรวมตัวล้อมฉินเฟิงโดยที่ราชสำนักไม่ยุ่งนับว่าเป็นการปรานีแล้วไม่ใช่หรือ?”
“ท่านแม่ทัพเฉินอาจไม่ทราบ ตอนฉินเฟิงก่อเรื่องในเมืองอวี๋ ขุนนางหลายคนเสนอให้สั่งสอนเขาให้หลาบจำเสียด้วยซ้ำ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะใต้เท้าหลี่ห้ามปราม วันนี้ฉินเฟิงคงไม่ได้เจอแค่การล้อมของประชาชน”
แม้หลี่อวี้จะเคารพนับถือเฉินซือมาก แต่ก็รู้สึกว่าเฉินซือระแวงฉินเฟิงเกินไปจนเหมือนกลัว
เขาจึงรีบพูดแทรกขึ้น น้ำเสียงหนักแน่น “ฉินเฟิงคือศัตรูของพวกเราเป่ยตี๋ การที่ประชาชนเป่ยตี๋โกรธแค้นล้วนสมเหตุสมผลและเข้าใจได้!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฉินซือถอนหายใจยาว
“หัวหน้าหลี่ ใต้เท้าจาง พวกเจ้าไม่รู้จักวิธีการของฉินเฟิงดีพอ”
“โดยเนื้อแท้ เขาเป็นคนหน้าหนา ถึงขั้นไร้ยางอาย”
“ข้ากล้ารับรอง ฉินเฟิงจะต้องฉวยโอกาสจากวิกฤติกดดันเรา ถึงตอนนั้น แม้เขาเรียกค่าปฏิกรรมสงครามเพิ่ม พวกเราก็ทำได้แค่กลืนความทุกข์ลงคอเท่านั้นแล้ว”
เรียกค่าปฏิกรรมสงครามเพิ่ม?
หลี่อวี้กับจางปิ่งกั๋วสบตากัน สีหน้าเคร่งเครียด
ด้วยความร่วมมือของคณะทูตเป่ยตี๋ทำให้ค่าปฏิกรรมสงครามลดลงมากก็จริง แต่สำหรับแคว้นเป่ยตี๋แล้วก็ยังนับว่าเป็นตัวเลขมหาศาล
และเมื่อนึกถึงว่า ฉินเฟิงเคยทุบตีจู้กั๋วอย่างไร พวกเขาก็เงียบไปโดยไม่ได้นัดหมาย
เริ่มชั่งใจว่า สุดท้ายแล้วอะไรสำคัญกว่ากัน เงินหรือศักดิ์ศรี
เฉินซือย่อมเข้าใจความคิดของทั้งสอง จึงรีบอธิบาย “ทุกคนต่างคิดว่า การที่ฉินเฟิงมาถึงเมืองหลวงเป่ยตี๋ และได้รับความอัปยศเป็นเรื่องสมควร”
“แต่พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่?”
“แคว้นต้าเหลียงมีกฎหมายเข้มงวด ห้ามผู้ใดขี่ม้าเข้าเมืองหลวง เว้นแต่จะเป็นทหารม้าเร็ววิ่งส่งข่าวด่วนทางทหาร หรือธุระเร่งด่วนพิเศษ แม้แต่องค์ชายแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน เมื่อเข้าเมืองหลวงก็ยังต้องลงจากม้า แล้วเดินเท้า อย่างมากก็นั่งเกี้ยวเท่านั้น”
“หลู่จู้กั๋ว เพื่อแสดงอำนาจ เขานำคณะทูตขี่ม้าผ่านถนนเมืองหลวงต้าเหลียง นับว่าละเมิดกฎหมายของแคว้นต้าเหลียงแล้ว อีกทั้งหลู่จู้กั๋วยังขี่ม้าเหยียบราษฎรของต้าเหลียง ฉินเฟิงลงมือนับว่าสมควร”
“กลับกัน ฉินเฟิงเข้ามายังเมืองหลวงเป่ยตี๋เรา พอถึงประตูเมืองเขาก็ลงจากม้า ให้ทหารติดตามนับพันคนตั้งค่ายรอนอกกำแพงเมืองหลวง นำเพียงองครักษ์น้อยนิดติดตามเข้ามา”
“พอเผชิญหน้ากับการปิดล้อมของราษฎรก็เก็บหางไว้หว่างขาทำตัวเป็นคนดี แม้แต่คำพูดแข็งกร้าวสักคำก็ไม่มี”
“ผิวเผิน ฉินเฟิงเสียหน้า ทว่ารอเขามาถึงท้องพระโรงเป่ยตี๋เถิด ฉินเฟิงจะได้กำไรแน่นอน”
ได้ฟังคำพูดของเฉินซือ หลี่อวี้ตาสว่าง
ฉินเฟิงปฏิบัติตามกฎหมายของเป่ยตี๋อย่างเคร่งครัด ไม่มีอาจตั้งข้อหาล่วงละเมิดใด ๆ พอเข้าเมืองก็ถูกราษฎรเมืองหลวงเป่ยตี๋ปิดล้อมสาปแช่ง พูดให้เบาคือ ไม่มีเหตุผล พูดให้ร้ายแรงคือ จงใจยั่วยุแคว้นต้าเหลียง
หากไม่ทำให้เรื่องนี้เป็นที่รู้กันไปทั่วใต้หล้า ย่อมไม่ใช่วิสัยฉินเฟิง
หลี่อวี้ประสานมือคำนับเฉินซือ “แม่ทัพเฉิน ข้าต่อสู้กับฉินเฟิงน้อยครั้ง ไม่รู้จักลักษณะนิสัยจึงวินิจฉัยสถานการณ์ผิดพลาด ขอท่านแม่ทัพอย่าใส่ใจ ต่อไปเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับฉินเฟิง ต้องรบกวนท่านแม่ทัพเฉินตัดสินแล้ว”
เฉินซือโบกมือ พูดอย่างจริงจัง “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของข้า เฉินซือ คนเดียว แต่เป็นเรื่องของพวกเราเป่ยตี๋ หัวหน้าหลี่ไม่ต้องตำหนิตัวเอง ตอนนี้ช่วยกันคิดหาวิธีปลอบประโลมฉินเฟิงจะดีกว่า”
“พวกเราอุตส่าห์หลอกล่อเขามาถึงเมืองหลวงโดยเร็วได้ ต่อไปจะต้องทำให้เขาอยู่นิ่ง ๆ ให้ได้ด้วย จะปล่อยให้เขามีอิสระเตร็ดเตร่ไปมานอกเมืองไม่ได้เป็นอันขาด หายนะอย่างซางโจวต้องไม่เกิดขึ้นอีก”
ซางโจว…

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ