เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ นิยาย บท 813

บทที่ 813 เล็งธนูถือกระบอง*[1]

พอเห็นทุกคนสงสัยกับคำว่า ‘เงินใต้โต๊ะ’

ฉินเฟิงยกยิ้มพลางมองไปทางจิ่งฉือ เป็นเชิงให้นางอธิบายสักหน่อย

จิ่งฉือไม่ได้ขลาดกลัว นางอธิบายรายละเอียดการต่อรองลับระหว่างนางกับฉินเฟิงอย่างตรงไปตรงมา

เมื่อรู้ความเป็นมาเป็นไป จางปิ่งกั๋วก็เข้าใจกระจ่างแล้ว “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่ท่านโหวฉินทราบหรือไม่ว่าเงินกับเงินมีความแตกต่างกัน”

“เงินใต้โต๊ะหนึ่งล้านตำลึง แม้จะเป็นเรื่องดี แต่สำหรับเป่ยตี๋อาจถือว่าน้อยนิดจนไม่ต้องคำนึงถึง”

“แม้ข้าไม่ใช่ขุนนางกรมคลัง แต่ก็พอรู้เรื่องการคลังและการเมืองอยู่บ้าง”

“อย่าว่าแต่เหล่าขุนนางในเมืองหลวงเลย แม้แต่พวกคหบดีหรือทหารอาสาท้องถิ่น ผู้ที่สามารถควักเงินหนึ่งล้านตำลึงได้ในคราวเดียวก็มีน้อย”

“ยิ่งไปกว่านั้น เงินก้อนนี้ไม่สามารถลงบัญชีอย่างเปิดเผยได้ จำต้องลงเป็นประโยชน์แอบแฝงและลอบนำเข้าคลังหลวงอย่างลับ ๆ”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ เงินหนึ่งล้านตำลึง สุดท้ายแล้วจะเหลือเข้าคลังหลวงได้จริงเท่าไร และจำนวนเงินที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงก็ไม่อาจรู้แน่ชัด”

ความหมายของจางปิ่งกั๋วชัดเจน แน่นอนว่าเงินหนึ่งล้านตำลึงไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย สำหรับแคว้นเป่ยตี๋ที่การคลังตึงเครียดอย่างยิ่งแล้ว ถือเป็นการช่วยเหลือในยามคับขัน แต่เงินที่ไม่สามารถลงทะเบียนได้ ย่อมหลีกเลี่ยงการถูกฉ้อฉลไม่พ้น

เงินที่มีหลักฐานชัดเจนและถูกต้องตามกฎหมายจึงจะแสดงคุณค่าแท้จริงได้

พูดถึงที่สุดแล้ว จางปิ่งกั๋วกำลังบอกเป็นนัยว่า ลดหย่อนค่าปฏิกรรมสงครามโดยตรงเสีย อย่ามัวทำเรื่องไร้สาระเสียเวลาอยู่เลย

จิงฉือที่อยู่ข้าง ๆ เดิมยังภูมิใจกับเงินใต้โต๊ะหนึ่งล้านตำเงิน

แต่พอได้ฟังคำพูดของจางปิ่งกั๋วก็อดถอนหายใจไม่ได้…นางยังเด็กนัก

เมื่อเผชิญหน้ากับข้อเรียกร้องของจางปิ่งกั๋ว ฉินเฟิงยกจกสุราขึ้น ไม่รีบดื่ม เพียงจ้องมองสุราสีขุ่นในจอกอย่างครุ่นคิด

“ใต้เท้าจาง ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมผ่อนปรน แต่ข้าเองก็ลำบากเช่นกัน”

“หากข้าส่งจดหมายไปยังเมืองหลวงต้าเหลียงตอนนี้ กว่าจดหมายจะไปถึงก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวัน อย่างมากสิบห้าวัน ไหนเหล่าขุนนางยังต้องปรึกษาหารือกันอีก กว่าจะได้ข้อสรุปแล้วส่งสารตอบกลับ ตั้งแต่เริ่มจนเสร็จสิ้นกระบวนการคงใช้เวลาถึงครึ่งปีแล้ว”

“การลากยาวเช่นนั้นไม่เป็นผลดีต่อแคว้นเป่ยตี๋ท่าน และไม่เป็นประโยชน์ต่อแคว้นต้าเหลียงข้าเช่นกัน”

“หากข้าตกลงลดหย่อนค่าชดเชยโดยตรง ครั้นข้ากลับต้าเหลียงก็จะถูกขุนนางกล่าวโทษว่าสมรู้ร่วมคิดกับแคว้นเป่ยตี๋ ถึงตอนนั้น ทั้งภายในแคว้นและนอกแคว้น ข้าย่อมเป็นที่รังเกียจ”

“การลดหย่อนค่าชดเชยไม่ใช่แค่เป็นเรื่องยาก แต่เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง”

ฉินเฟิงพูดถึงขนาดนี้ แต่จางปิ่งกั๋วกลับไม่สนใจ เขายกยิ้มออกมาเสียอีก

“ตามคำเล่าลือ ว่ากันว่าท่านโหวฉินยึดถือหลักความจจิง ข้าก็ไม่รู้จริงเท็จอย่างไร”

“แต่ข้ามีคำพูดหนึ่งอยากกล่าว หากพูดจาล่วงเกินไป ขอท่านโหวฉินอย่าได้ถือสา”

“เมื่อท่านโหวฉินเสนอเงินใต้โต๊ะแก่องค์หญิงเป็นการส่วนตัวได้ เช่นนั้นพวกข้าก็สามารถเสนอเงินใต้โต๊ะแก่ท่านได้ ใช่หรือไม่?”

“ทุก ๆ หนึ่งล้านตำลึงที่ท่านโหวฉินลดหย่อน พวกข้าจะให้เงินคืนแก่ท่านสามแสนตำลึงเป็นอย่างไร?”

ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของฉินเฟิงก็หม่นลง แม้เขาจะไม่รังเกียจเงินคืน ถึงขั้นเป็นคนรักเงิน แต่การหาผลประโยชน์จากความทุกข์ยากของบ้านเมืองเป็นอีกเรื่อง

อีกอย่าง อย่างไรเงินชดเชยสงครามส่วนใหญ่ก็จะไหลสู่ชายแดนเหนือต้าเหลียงหรือก็คือเขตปกครองของเขา ฉินเฟิง เพื่อสร้างและฟื้นฟูชายแดนเหนือที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากสงครามระหว่างแคว้น

ต่อให้เขาจะรับเงินใต้โตะ แต่เขาต้องรับเงินจากตัวเองหรือ?’

พอเห็นสีหน้าของฉินเฟิงไม่สู้ดี จางปิ่งกั๋วจึงเข้าใจสถานการณ์และรีบเปลี่ยนหัวข้อ เขาเข้าใจจุดยืนของฉินเฟิงชัดเจนแล้ว

บทที่ 813 เล็งธนูถือกระบอง*[1] 1

บทที่ 813 เล็งธนูถือกระบอง*[1] 2

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ