บทที่ 814 เปลี่ยนสีหน้าเร็วกว่าพลิกหน้าหนังสือ
ก่อนเจอกับหลี่อวี้ ฉินเฟิงตั้งสติอย่างเต็มที่ ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย เกรงว่าหากเผลอเพียงนิดจะตกหลุมพรางหลี่อวี้เอาได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงหัวหน้าหน่วยลับที่เก่งกาจที่สุดของเป่ยตี๋
แต่พอได้เผชิญหน้าจริง ๆ เขาผิดหวังอยู่บ้าง
หลี่อวี้มีความสามารถ แต่ยังห่างไกลจากความแข็งแกร่งที่ฉินเฟิงคาดการณ์ไว้มาก
ยิ่งตอนเขาเริ่มยกเรื่องสงครามซางโจวมาพูด ฉินเฟิงอดมองเขาด้วยสายตาดูแคลนไม่ได้ แม้ไม่ถึงกับเป็นกลยุทธ์ขาดเขลา แต่ก็เป็นการเดินหมากแสนธรรมดา ไม่ได้เฉียบขาดโดเด่นแต่อย่างใด
เหตุผลง่ายดาย สงครามซางโจวจบไปแล้ว เป่ยตี๋สูญเสียอำนาจในซางโจว ไม่ว่าจะตะโกนโวยวายเพียงใดก็ไร้ความหมาย
การเสียเวลาไปกับเรื่องไร้ความหมายไม่อาจเรียกว่าเฉลียวฉลาด
หากเป่ยตี๋ต้องการยึดซางโจวคืนก็มีเพียงวิธีเดียว…เพิ่มกำลังทหาร เตรียมพร้อมทำสงครามกับแคว้นต้าเหลียง การคิดว่าจะใช้เพียงคำพูดยึดซางโจวคืน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฉินเฟิงยังไม่ตื่น หรือว่าขุนนางของเป่ยตี๋กำลังหลับฝันกันแน่
“ใต้เท้าหลี่ ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดทำสิ่งใด”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะไม่อ้อมค้อม อย่างไรพวกเราก็สืบข้อมูลของอีกฝ่ายมาจนหมดสิ้นแล้ว”
“แต่ไหนแต่ไรข้า ฉินเฟิง เป็นคนจิตใจคับแคบ ต่อให้เป็นความแค้นเล็กน้อยก็จำฝังใจ เมื่อกองพลหมาป่าเหมันต์กล้าชักดาบใส่กองทัพของข้า ข้าย่อมต้องให้พวกเขาชดใช้”
“หากปล่อยไปไม่เท่ากับทำให้กองพลหมาป่าเหมันต์ได้ใจหรือ ราวกับในอดีตที่พวกเขากล้าละเมิดแนวป้องกันของพวกเราอย่างง่ายดาย แบบนั้นจะต่างอะไรกับสถานการณ์ก่อนสงครามระหว่างแคว้นเล่า?”
“เมื่อสงครามได้สิ้นสุด กฎเกณฑ์และระเบียบใหม่ถูกตั้งขึ้น ขอกองทัพเป่ยตี๋ของท่านปฏิบัติตามอย่างเหมาะสมด้วย”
เผชิญกับคำตำหนิไร้ปรานีของฉินเฟิง หลี่อวี้ไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังประทับใจเสียอีก…บุรุษหนุ่มตรงหน้าคิดอ่านละเอียดรอบคอบสมคำเล่าลือจริง ๆ
ผิวเผินเหมือนเป็นเพียงความเย่อหยิ่ง แต่แท้จริงแฝงไว้ด้วยปัญญา คำพูดรัดกุมไม่มีช่องโหว่ให้หลี่อวี้แย้งได้แม้แต่น้อย
ส่วนเหตุผลหลักที่หลี่อวี้พยายามหาเรื่องในประเด็นกองพลหมาป่าเหมันต์ก็เพื่อชักนำหัวข้อสนทนาไปสู่เรื่องของหลู่ฉือกับหลี่โฉว ขุนพลทรยศของเป่ยตี๋
หากฉินเฟิงประกาศว่า การทำลายล้างกองพลหมาป่าเหมันต์เป็นไปเพื่อปกป้องหลู่ฉือกับหลี่โฉว เป่ยตี๋ก็จำเป็นต้องมีเหตุผลอันชอบธรรม
ถ้าฉินเฟิงมองทั้งสองคนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหมายความว่า ทั้งสองคนไม่ใช่แม่ทัพของเป่ยตี๋แล้ว ภายหน้าหลู่ฉือกับหลี่โฉวจะไม่สามารถเป็นกำลังให้จิ่งเชียนอิ่งได้ หาไม่จะกลายเป็นอิทธิพลต่างแดนรบกวนเป่ยตี๋ เป็นการรุกรานอย่างโจ่งแจ้ง!
หากฉินเฟิงยังคงมองทั้งสองคนเป็นแม่ทัพเป่ยตี๋ การที่กองพลหมาป่าเหมันต์สังหารหลู่ฉือกับหลี่โฉวจะกลายเป็นเรื่องภายในของเป่ยตี๋ ฉินเฟิงที่เป็นคนนอกจะแทรกแซงได้อย่างไร?
แต่ฉินเฟิงไม่ติดกับดัก ตั้งแต่ต้นจนจบ เขารับเอาแรงจูงใจในการทำลายล้างกองพลหมาป่าเหมันต์ไว้ที่ตัวเขา ไม่เอ่ยถึงหลู่ฉือกับหลี่โฉวแม้แต่คำเดียว
หลี่อวี้ทั้งผิดหวังและชื่นชม
เทียบกับเฉินซือและจางปิ่งกั๋ว ภารกิจของหลี่อวี้ชัดเจน เขาต้องใช้โอกาสคืนนี้สืบหาจุดยืนและแผนการของฉินเฟิง หากจังหวะเหมาะสมก็ฉวยโอกาสทำลายความชอบธรรมในการกลับสู่ราชวงศ์เป่ยตี๋ของจิ่งเชียนอิ่งไปด้วยในคราวเดียว
แต่หลี่อวี้ก็รู้สึกลาง ๆ ขึ้นมาแล้วว่า ฉินเฟิงมองเจตนาเขาปรุโปร่งแต่แรกจึงระมัดระวังทุกฝีก้าว ไม่เปิดช่องให้หลี่อวี้ฉวยโอกาสใด ๆ
แต่หลี่อวี้ยังไม่ยอมแพ้
แผนหนึ่งไม่สำเร็จ ก็คิดแผนใหม่ได้
“เมืองซางโจวเป็นดินแดนของพวกข้าเป่ยตี๋ บัดนี้กลับวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ ท่านโหวฉินจะถอนทัพออกจากซางโจวได้หรือไม่? พวกข้าจะได้ส่งกองกำลังไปรักษาความสงบและฟื้นฟูการผลิตในท้องถิ่น”
“ข้าได้ยินมาว่าท่านฉินโหวห่วงใยความเป็นอยู่ของราษฎรมากที่สุด หากซางโจวยังคงวุ่นวายต่อไป ชาวบ้านในท้องถิ่นย่อมทุกข์ทรมานเหลือทน เกรงว่าจะขัดกับเจตนารมณ์แรกเริ่มของท่านโหวฉินกระมัง? ด้วยคุณธรรมอันสูงส่งของท่าน คำขอเพียงเท่านี้ ท่านคงไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่?”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ