บทที่ 816 การทหารคือส่วนขยายของการเมือง
หากเป็นการรบซึ่งหน้า ไม่ว่ากองทัพใด ๆ ภายใต้การนำของฉินเฟิงก็ไม่สามารถเอาชนะกองพลหมาป่าเหมันต์ได้เพียงลำพัง ด้วยกองพลหมาป่าเหมันต์เป็นกองทัพม้าที่รวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างของชาวเป่ยตี๋ไว้ แข็งแกร่งอย่างยิ่ง…
เมื่อเทียบกับม้า ชุดเกราะ อาวุธ และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือประสบการณ์การต่อสู้ของกองพลหมาป่าเหมันต์
ทหารทุกคนล้วนเป็นทหารผ่านศึกที่ผ่านการรบมานับร้อยครั้ง!
ต้องรู้ว่า ทหารผ่านศึกในสนามรบไม่ว่าจะเป็นการใช้ยุทธวิธี การสั่งสมประสบการณ์ ความเข้มแข็งของขวัญกำลังใจ ล้วนเหนือกว่าทหารใหม่ที่ฝึกมาเพียงปีเศษ
ฉินเฟิงกล้าหยิ่งผยองต่อทั้งแคว้นต้าหลียงด้วยกองทหารม้าแห่งชายแดนเหนือก็ด้วยเขาพึ่งพาประสบการณ์การต่อสู้ของกองทัพชายแดนเหนือ
แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว กองทัพชายแดนเหนือก็ยังไม่อาจเทียบกับกองพลหมาป่าเหมันต์
แม้แต่ฉินเฟิงเองก็ยังต้องอาศัยความได้เปรียบด้านชุดเกราะ พร้อมกับการวางแผนสั่งการที่เหมาะสม เพื่อถมช่องว่างและครองความได้เปรียบเพียงเล็กน้อย
นอกจากนี้ ตามที่ฉินเฟิงทราบ แม้กองพลหมาป่าเหมันต์จะมีชื่อเสียงเทียบเท่ากองพลพญาอินทรี ถูกยกย่องว่าเป็นสองดาบที่แหลมคมที่สุดของชาวเป่ยตี แต่ถ้าพูดถึงเพียงด้านพลังการต่อสู้ กองพลหมาป่าเหมันต์ยังตามหลังกองพลพญาอินทรีอยู่ไม่น้อย
ทหารของกองพลพญาอินทรีไม่เพียงเป็นทหารผ่านศึกร้อยรบ แต่อาวุธยุทโธปกรณ์และม้าศึกของพวกเขาล้วนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของเป่ยตี๋
ยิ่งไปกว่านั้น หลังสงครามยืดเยื้อ อาวุธและเกราะของค่ายเทียนจีตกอยู่ในมือของเป่ยตี๋ไม่น้อย หลังศึกษาและลอกเลียนแบบ ก็เริ่มนำมาใช้กับกองพลพญาอินทรีแล้ว
แม้ของเลียนแบบกับของแท้จะมีความแตกต่าง แต่ก็เพียงพอจะลดช่องว่างด้านเกราะได้มาก
กล่าวได้ว่า กองกำลังเป่ยตี๋ที่ฉินเฟิงไม่อยากเผชิญหน้าที่สุดก็คือ กองพลพญาอินทรี
กองพลหมาป่าเหมันต์และกองพลพญาอินทรีล้วนเป็นกองกำลังชั้นยอดของเป่ยตี๋ เพียงกองใดกองหนึ่งก็สามารถล้มล้างแคว้นขนาดเล็กแคว้นหนึ่งได้แล้ว พวกเขาล้วนมีพลังรบเหนือชั้น แต่ฉินเฟิงกลับทำเหมือนกองทหารม้าชั้นยอดทั้งสองของเป่ยตี๋ไร้ค่า
เขาต้องการสร้างภาพลวงตาคนเป่ยตี๋…
แม้แต่กองกำลังชั้นยอดอย่างกองพลหมาป่าเหมันต์และกองพลพญาอินทรี เมื่อเผชิญหน้ากับกองกำลังของฉินเฟิงก็มีแต่ต้องตาย ด้วยความคิดนี้ เป่ยตี๋ย่อมล้มเลิกความคิดที่จะยกทัพโจมตีของพวกเขา
“พี่เฉิน แม้กองพลหมาป่าเหมันต์จะเป็นกองกำลังชั้นยอด แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงกองทหารม้า ทุกกองทหารม้าย่อมมีจุดอ่อนร้ายแรงอย่างหนึ่ง คือ ไม่เก่งในการป้องกัน”
“พูดตามตรง ทั้งกลยุทธ์การโจมตี การรบกวน การคุ้มกัน และการแทรกซึมของกองทหารม้า ทั้งหมดเรียกรวมได้ด้วยคำเดียว…เคลื่อนไหว”
“เมื่อเคลื่อนไหวจึงจะเป็นกองทหารม้า หากเคลื่อนไหวไม่ได้ ก็เป็นเพียงเป้านิ่ง”
“ทุกคนล้วนทราบกันดี ม้าของแคว้นต้าเหลียงข้าสู้ม้าของเป่ยตี๋ไม่ได้ เมื่อกองทหารม้าของแคว้นต้าเหลียงต้องต่อสู้กับกองทหารม้าของเป่ยตี๋ ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ต้าเหลียงจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”
“ด้วยเหตุนี้ แคว้นต้าเหลียงของข้าจึงสร้างนิสัยหนึ่งมาตลอดหลายปี คือ ไม่ส่งกองกำลังเพียงประเภทเดียวออกรบ แต่จะเป็นการผสมผสานระหว่างกองทหารม้าและทหารราบในทุกการรบ”
“การเคลื่อนทัพอาจไม่เร็วดั่งได้อย่างแคว้นเป่ยตี๋ท่าน สูญเสียความคล่องตัวไป แต่ในทางกลับกัน ด้านความสามารถในการป้องกันจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
“สงครามยืดเยื้อใด ๆ ก็สามารถสั่งสมความได้เปรียบได้”
รับฟังคำอธิบายของฉินเฟิง เฉินซือครุ่นคิดตาม
ดังฉินเฟิงกล่าว อาศัยเพียงกองทหารม้าเอาชนะกองทัพผสมของแคว้นต้าเหลียงยากเกินไป
แต่ในสถานการณ์ที่รู้จุดอ่อนอยู่แล้ว เฉินซือยังคงยืนยันความคิดในการรบด้วยกองทหารม้า และจะไม่เปลี่ยนแปลงแนวคิดในการรบเด็ดขาด
เหตุผลง่ายมาก เขาติดต่อกับฉินเฟิงมานานพอจะรู้จักฉินเฟิงดี
ฉินเฟิงชี้ให้เห็นจุดอ่อนของกองทหารม้าเป่ยตี๋ ไม่ใช่เพื่ออะไรอื่น คงต้องการปลูกฝังความคิดให้แก่เป่ยตี๋ว่า หากต้องการลบจุดอ่อนก็ต้องใช้แนวคิดทางยุทธวิธีเดียวกับแคว้นต้าเหลียง เปลี่ยนวิธีการรบที่ใช้กองทหารม้าเป็นหลักให้เป็นการรบกองทารผสมที่ใช้ทหารราบเป็นหลักและกองทหารม้ามาเสริม
ผิวเผินเหมือนยกระดับตามกันไป
แต่ความจริงแล้ว หากเป่ยตี๋ทำตามจะกลายเป็นทิ้งความได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดไปโดยสมัครใจ

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ