บทที่ 817 พูดจนเหนื่อย
ฉินเฟิงไม่ได้สงสัยในความมุ่งมั่นของเฉินซือที่จะปกป้องบ้านเมือง เขาหัวเราะออกมาอย่างสบายใจ และดูผ่อนคลายมาก แม้มีความเป็นไปได้ที่สสธิสันญาสงบศึกจะถูกฉีกทิ้ง เขาก็ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย
“ฮ่า ๆ สงครามระหว่างแคว้นคราวนี้ แม้ว่าแคว้นของท่านจะพ่ายแพ้ แต่ถ้าจะบอกว่าพี่เฉินแพ้ให้ข้าก็คงไม่ถูกนัก น่าจะบอกว่าแพ้ให้กับการสนับสนุนด้านการขนส่งทรัพยากรมากกว่า”
“ตอนนี้ฝ่ายข้าสูญเสียข้อได้เปรียบในการเป็นเจ้าบ้าน ทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกัน หากข้าสามารถเอาชนะพี่เฉินได้จึงจะพิสูจน์ว่าข้าแข็งแกร่งกว่าท่านจริง ๆ”
“ฮ่า ๆๆ ข้ารออย่างใจจดใจจ่อทีเดียว”
เสียงหัวเราะของฉินเฟิงกังวานไปทั่วห้อง แต่ขุนนางทั้งสามคนของเป่ยตี๋กลับเงียบกริบ
พวกเขาไม่อาจเห็น ‘ความหวาดต่อกลัวสงคราม’ ของเฟิงแม้แต่น้อย เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่ไม่กลัวการทำสงคราม การจะใช้กำลังทหารต้องระมัดระวังให้มาก
ฉินเฟิงกับเฉินซือสบตากัน สายตาปะทะกันอย่างดุเดือด
คนหนึ่งคือเทียนลู่โหวแห่งต้าเหลียง คนหนึ่งคือแม่ทัพคนสำคัญเพียงหนึ่งเดียวที่เป่ยตี๋พึ่งพาได้
อาจกล่าวได้ว่าคนทั้งสองคนคือ ผู้กำหนดทิศทางของสองแคว้นว่าจะรบหรือสงบศึก
จ้องมองกันอยู่นาน สายตาเฉียบคมของเฉินซือก็ผ่อนคลายลงก่อน เขาเงยหน้าหัวเราะลั่น “ฮ่า ๆ ฉินเฟิง พูดตามตรง บางคราวแม้แต่ตัวข้าเองก็ยังแปลกใจ”
“ชีวิตครึ่งหนึ่งของข้าใช้ไปกับการรบทัพจับศึก และไม่เคยพ่ายแพ้ ไม่เคยปราชัย ทว่าคู่ต่อสู้ที่เอาชนะได้ยากเย็นที่สุดกลับเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น”
“สองแคว้นทุ่มเททุกสิ่งจนเกิดการเจรจาสงบศึก แม้จะต้องทำสงครามต่อก็ต้องระมัดระวังอย่างที่สุด”
“สถานการณ์ชัดเจนแล้ว การเกิดสงครามหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเหตุสองประการ หนึ่ง การจลาจลในซางโจว สอง สนธิสัญญาสงบศึก”
“ข้าเป็นเพียงนักรบ เรื่องสนธิสัญญาสงบศึกไม่ใช่หน้าที่ข้าต้องกังวล”
พูดถึงตรงนี้ เฉินซือมองไปที่หลี่อวี้ด้วยรอยยิ้ม สายตาบ่งบอกว่า…ให้เขาสานต่อการสนทนากับฉินเฟิง
การเจรจาลับคราวนี้ อำนาจการควบคุมไม่ได้อยู่ในมือของฉินเฟิง แต่อยู่กับฝั่งของเป่ยตี๋
การต่อสู้หนึ่งต่อสาม ยิ่งเจรจานานพลังของฉินเฟิงก็จะยิ่งถูกบั่นทอน ฝ่ายตรงข้ามมีสามคน ผลัดกันเจรจา ไม่ช้าก็เร็วย่อมเห็นผลลัพธ์
หลี่อวี้เข้าใจความหมายลึกซึ้งของเฉินซือ งานเลี้ยงคืนนี้เหมือนจะกะทันหัน แต่สำคัญอย่างยิ่ง
หากเมื่อครู่หลี่อวี้ผลุนผลันออกไปก็คงพลาดโอกาสเจรจาที่ดีที่สุด
“นอกจากค่าปฏิกรรมสงคราม การแลกเปลี่ยนตัวประกัน และการจลาจลในซางโจว ในสนธิสัญญายังมีข้อสำคัญที่สุดอีกหนึ่งข้อนั่นคือ การค้า”
“ไม่ทราบว่า ท่านโหวฉินมีแผนจะทำการค้าขายกับแคว้นเป่ยตี๋ของเราอย่างไร?”
ทุกสายตาพลันจับจ้องฉินเฟิง เทียบกับการทำสงครามในสนามรบการค้าสำคัญกับเป่ยตี๋ยิ่งกว่า
หลังผ่านสงครามครั้งใหญ่ เป่ยตี๋ก็บอบช้ำอย่างหนัก จำเป็นต้องเร่งฟื้นฟู และการค้าก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ฉินเฟิงถอนหายใจโล่งอก หลังพูดคุยมานานในที่สุดก็เข้าประเด็นสำคัญแล้ว
การเจรจาการค้าคือผลประโยชน์หลักของฉินเฟิง
แม้บนโต๊ะ ‘เจรจา’ นี้จะไร้ขุนนางที่ดูแลด้านการค้า แต่หากตกลงกันได้ การเจรจากับกรมคลังและกรมโยธาก็เป็นเพียงขั้นตอนที่ต้องทำเท่านั้น แทบจะไม่มีอุปสรรคใดแล้ว
ฉินเฟิงยกจอกสุรา เผยรอยยิ้มจริงใจอย่างยิ่ง ตอนนี้เขาไม่ใช่ทหาร ไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นพ่อค้าวาณิชแล้ว
“ข้อเรียกร้องของพวกข้ามีดังนี้”
“หนึ่ง เปิดเส้นทางการค้าไปยังแคว้นเพื่อนบ้าน แคว้นเป่ยตี๋ของพวกท่านไม่เพียงต้องไม่ทำลายเส้นทางการค้า ยังต้องอำนวยความสะดวก การปกป้องเส้นทางการค้าเป็นความรับผิดชอบของแคว้นเป่ยตี๋ท่าน”



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ