บทที่ 840 เสียงเพลงและการร่ายรำบนทะเลสาบตะวันตกจะสิ้นสุดเมื่อใด
ม่านราตรีทิ้งตัว โคมไฟส่องแสง แม้จะอยู่ในดินแดนห่างไกล เมืองหลวงก็ยังคงเป็นเมืองหลวง ครอบครองความเจริญรุ่งเรืองและความคึกคักของเมืองใหญ่
เป็นอย่างที่จิ่งฉือคาดการณ์ หิมะตกลงมาแล้ว…
เกล็ดหิมะบางเบาโปรยปราย สะท้อนแสงเล็กน้อยภายใต้แสงไฟ ร่วงหล่นลงบนถนนในเมืองหลวงที่ปูด้วยหินสีเขียว
ประชาชนใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์ ช่างสมกับบทกวีที่ว่า
‘นอกภูเขายังมีภูเขา นอกอาคารยังมีอาคาร เสียงเพลงและการร่ายรำบนทะเลสาบซีหูจะสิ้นสุดเมื่อใด สายลมอุ่นพัดโชยมา ผู้มาเยือนต่างหลงใหล เข้าใจว่าหางโจวคือเปี้ยนโจว[1]’
ผู้คนมากมายหลั่งไหลออกมาตามท้องถนน ต้อนรับหิมะแรกของปี
เด็ก ๆ วิ่งเล่น หัวเราะร่า ส่งเสียงดังสนุกสนาน
พวกเขาไม่รู้เลยว่า ชาวบ้านนอกเมืองหลวงกำลังเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายอย่างไร และหิมะครั้งนี้จะพรากชีวิตของผู้คนไปมากน้อยเพียงใด
จิ่งฉือคลุมเสื้อคลุมขนสัตว์อบอุ่น เดินไปตามถนนคึกคักพร้อมด้วยองครักษ์ติดตาม มุ่งหน้าสู่จวนตระกูลหวัง สถานที่จัดงานชิมสุรา
ตระกูลหวังเป็นพ่อค้าผู้ร่ำรวยในเมืองหลวง ที่ได้รับเลือกจากองค์หญิงจิ่งฉือก็เพราะมีเรือนหลังใหญ่ เหมาะสำหรับจัดงานสังสรรค์ชิมสุรา คนตระกูลหวังทั้งผู้ใหญ่และเด็กต่างซาบซึ้งอย่างยิ่ง
แม้พวกเขาจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวง และบางครั้งก็มีโอกาสได้พบปะกับขุนนางชั้นสูงและผู้มีอำนาจ แต่โอกาสที่จะได้พบปะกับผู้สูงศักดิ์โดยตรงแทบเป็นไปไม่ได้ พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับงานชิมสุราคราวนี้อย่างยิ่ง ถึงกับระดมตระกูลหวังทั้งหมด ไม่ว่าจะผู้ใหญ่หรือเด็ก จัดเตรียมสถานที่อย่างวิจิตรและอาหารเลิศรส เพื่อจะทำให้องค์หญิงพอพระทัยอย่างที่สุด
ทว่าพวกเขาไม่รู้เลย นับตั้งแต่จิ่งฉือออกจากประตูพระราชวังมา สีหน้านางก็เศร้าหมองนัก
เสียงหัวเราะที่ดังมาจากทุกมุมถนนแสบแก้วหูเหลือเกิน
ยิ่งได้เห็นหนุ่มสาวชาวเมืองหลวงยืนอยู่กลางถนน ชูมือสองข้างเหนือศีรษะ คอยรับเกล็ดหิมะเย็นเฉียบด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเปี่ยมสุขและหวานชื่น จิ่งฉือก็ยิ่งปวดร้าวใจนัก หิมะแรกมาเยือน สองสภานที่แตกต่าง ชีวิตไม่เหมือนกัน
แน่นอนว่า ผู้มั่งคั่งของแต่ละเมืองคงยินดีต้อนรับหิมะแรกเช่นเดียวกับคนในเมืองหลวง เพลิดเพลินไปกับความงดงามขาวโพลน แต่งบทกวีร่ำสุรา
ทว่า…
ผู้คนธรรมดาที่อาศัยอยู่นอกเมือง เหล่ารากฐานที่แท้จริงของแคว้นเป่ยตี๋ พวกเขากลับต้องขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบางที่เย็นชื้น สั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บ ได้แต่ฟังเสียงครวญครางจากท้องที่หิวโหยของตนและครอบครัวฆ่าเวลายามค่ำคืนที่แสนยาวนานและทุกข์ทรมาน
อย่าว่าแต่จะได้ดื่มน้ำอุ่นสักชามเพื่อขับไล่ความหนาวเหน็บ เกรงว่าแม้แต่ฟืนก็ไม่มีปัญญาหาซื้อ…
ขณะนั้นเอง เสียงคุ้นเคยดังขึ้น
“หิมะปีนี้ตกมาถูกเวลาเสียจริง แต่สำหรับราษฎรช่างเป็นเรื่องร้าย”
“ไม่รู้ว่าราษฎรในเมืองซางโจวจะเก็บฟืนไว้พอสำหรับผ่านฤดูหนาวล้วหรือไม่?”
“ส่งทูตส่งสารไปถามและตรวจดูเมืองซางโจว หากมีราษฎรต้องทุกข์ทรมานเพราะความหนาวให้เหล่าทหารเร่งให้ความช่วยเหลือเสีย อย่างไรตอนนี้พวกเขาก็ว่างอยู่”
ฉินเฟิงเปลี่ยนมาสวมชุดฤดูหนาวสีดำ เทียบกับทิวทัศน์บนท้องถนนที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว ทำให้เขาโดดเด่นอย่างยิ่ง
ตอนนี้ฉินเฟิงหนักใจอยู่บ้าง เขาตั้งใจจะผนวกเมืองซางโจวเข้าเป็นเขตปกครองของเขา ชาวเมืองซางโจวเลยกลายเป็นคนในความปกครองของเขาด้วย
หากความเป็นอยู่ของชาวซางโจวไม่ดี เขาที่เป็นผู้ปกครองจะมีความสุขได้อย่างไร
ท้ายที่สุดแล้วขนแกะงอกจากตัวแกะ หากชาวบ้านไร้กำลังซื้อ ถึงฉินเฟิงจะมีสินค้าคุณภาพดีมากมาย แต่จะขายให้ผู้ใดได้เล่า?
ตามที่ฉินเฟิงรู้มา ยุคนี้ฟืนจะเป็นทรัพยากรที่ไม่ขาดแคลน เก็บที่ไหนก็ได้
แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ยกเว้นแต่พวกชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนภูเขา พึ่งพาภูเขาเป็นแหล่งอาหาร ตัดไม้มาใช้ได้ตามใจชอบ
ชาวบ้านที่อาศัยบนพื้นที่ราบ แม้แต่ฟืนที่เป็นสิ่งจำพื้นฐานที่สุดก็หาได้ไม่เพียงพอ


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ