บทที่ 842 บุตรชายของผู้ช่วยเสนาบดี
จิ่งฉือตื้นตันใจอย่างยิ่ง ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสงบสติอารมณ์ลงได้
แท้จริงแล้ว ความเมตตาของฉินเฟิงที่มีต่อคนทั่วไปไม่ได้จำกัดอยู่เพียงราษฎรแคว้นต้าเหลียง ในสายตาของเขา ราษฎรทั่วหล้าล้วนเท่าเทียม
เหตุที่เขาแสดงความดุร้ายต่อชาวเป่ยตี้ก็เพราะตำแหน่งหน้าที่ จำต้องวางตัวให้เหมาะสม
หากมองจากมุมมองผลประโยชน์ของแคว้น ฉินเฟิงคือนักการเมืองที่โหดเหี้ยมและเย็นชาอย่างที่สุด เขาพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่หากมองจากมุมมองส่วนตัว ฉินเฟิงกลับมีความเมตตากว่าคนทั่วไปเสียอีก
ตอนนี้ ข้อตกลงระหว่างสองแคว้นได้รับการยืนยัน และเริ่มดำเนินการ เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นดีขึ้น คงจะได้เห็นฉินเฟิงแสดงความเมตตาต่อชาวเป่ยตี๋กระมัง?
พอคิดถึงตรงนี้ จิ่งฉือก็ตื่นเต้นและคาดหวังขึ้นมา สายตาที่มองฉินเฟิงแฝงไว้ด้วยความเคารพอย่างควบคุมไม่ได้
ทว่าเวลานั้นเอง เสียงที่ไม่กลมกลืนเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ฮ่า ๆๆ ช่างเสแสร้งจริง!”
“ฉินเฟิง หากเจ้าใจกว้างจริง เหตุใดสร้างความยากลำบากนานัปการให้แก่พวกเราชาวเป่ยตี๋?”
“เจ้าบีบบังคับเราชดให้ค่าปฏิกรรมสงครามห้าสิบล้าน ก่อความวุ่นวายในซางโจว ทำให้ประชาชนซางโจวค้องทุกข์ทรมาน ทั้งยังบีบบังคับราชสำนักเป่ยตี๋ข้าให้ลงนามในสนธิสัญญาที่ไม่เท่าเทียม ให้เปิดตลาดเสรีที่ทำให้พ่อค้าต้าเหลียงของเจ้าสามารถเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ได้อย่างไร้ความละอาย”
“การกระทำชั่วร้ายทั้งหมดล้วนทำให้สวรรค์พอโรธผู้คนเดือดดาล!”
“ทว่าดูตอนนี้เถิด เจ้าพยายามใช้เรื่องเล็กน้อยบดบังสายตาผู้คน ล้างชื่อเสียงฉาวโฉ่ ช่างเก่งกาจมในเรื่องทำให้คนหัวเราะได้จริง ๆ”
ทนฟังตั้งแต่ต้นจนจบ จิ่งฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปตามเสียง สัญชาตญาณในใจร้องเตือน…ร้องไม่ดีแล้ว
ชายคนหนึ่งสวมชุดกำมะหยี่สีเทา โพกผ้าโพกศีรษะ ก้าวเดินออกมาอย่างองอาจ ท่าทีโอ้อวด
ชายผู้นี้คือ หลิวอี้ บุตรชายของผู้ช่วยเสนาบดีกรมโยธา
กรมโยธาธิการอ้างตนว่าเป็นกลาง แต่ความจริงกลับเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งของหลู่หลี และยังเป็นเสียงคัดค้านที่ดังที่สุดในท้องพระโรงต่อการลงนามในสนธิสัญญา
ตอนนี้ฝ่าบาทฝืนเสียงทัดทานของคนส่วนใหญ่ บังคับให้มีการลงนามในสนธิสัญญา ทำให้กรมโยธาธิโกรธแค้น ถึงขนาดที่ว่า ขุนนางกรมโยธาประกาศว่าจะลาออกจากตำแหน่งถึงสิบคน บีบบังคับให้ฮ่องเต้เป่ยตี๋เปลี่ยนใจ
หากไม่ใช่เฉินซือกับหลี่อวี้ รวมถึงขุนนางคนสำคัญอื่น ๆ คอยกดคานเอาไว้ เกรงว่าแม้แต่ฮ่องเต้เป่ยตี๋ก็คงต้องพิจารณาเสียงคัดค้านของกรมโยธาให้ดี
หากกรมโยธาคัดค้านสนธิสัญญาเพียงเพื่อผลประโยชน์ของแคว้นเป่ยตี๋อย่างบริสุทธิ์ใจจิ่งฉือย่อมเคารพนับถือ ทว่าเจตนาของพวกเขาไม่ใช่อย่างนั้น พวกเขาคัดค้านเพียงเพราะอยากคัดค้าน
ด้วยเมื่อคราวเป่ยตี๋ส่งคณะทูตไปยังต้าเหลียง ฉินเฟิงทำให้หลู่หลีต้องอับอาย และยังสังหารบุตรชายของหลู่หลี เหตูการณ์นั้นกลายเป็นแค้นเลือดของฝ่ายเหยี่ยวในราชสำนักเป่ยตี๋
พวกเขาพยายามหาวิธีแก้แค้นฉินเฟิงสารพัด ไม่สนสิ่งใดทั้งนั้น ต่อให้ต้องแลกด้วยการทำลายผลประโยชน์ของแคว้น
ยิ่งไปกว่านั้น…
เพียงแค่มีผู้ใดส่งเสียงเชิงบวกในราชสำนัก ขุนนางเหล่านี้ก็จะใส่ร้ายว่าเป็นคนทรยศแผ่นดิน จนทำให้ขุนนางมากมายที่รู้ดีว่า การลงนามในสนธิสันญาทางการค้าเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้เป่ยตี้อยู่รอด ไม่กล้าที่จะเปิดปากพูดสิ่งใด
ทว่าเฉินซือกับหลี่อวี้ไม่หวาดกลัวพวกเขา ตลอดมาที่ไม่เคยเผผชิญหน้ากับฝ่ายเหยี่ยวพวกนี้โดยตรงก็เป็นเพราะเกรงใจหลู่หลี่จู้กั๋ว จึงใช้การประนีประนอมเรื่อยมา ส่งผลให้พวกเขาโอหังมากขึ้นเรื่อย ๆ
โดยเฉพาะหลิวอี้ตรงหน้า จิ่งฉือรังเกียจเขามากนัก
สาเหตุไม่ใช่อื่นใด แต่เขาเป็นคางคกที่อยากกินเนื้อหงส์*[1] ไม่รู้จักประมาณตน ไร้ยางอายอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงขนาดกล้าแสดงความรักต่อจิ่งฉือต่อหน้าธารกำนัล
แม้ธรรมเนียมของชาวเป่ยตี๋จะเปิดกว้าง ข้อห้ามระหว่างชายหญิงไม่เคร่งครัดเท่าแคว้นต้าเหลียง แต่ความหน้าด้านไร้ยางอายของหลิวอี้ก็สร้างความลำบากใจให้จิ่งฉืออย่างยิ่ง
ด้วยเหตุนี้เอง นางจึงออกจากเมืองหลวงไปยังเมืองอวี่เพื่อพักผ่อนจิตใจ แล้วบังเอิญได้พบกับฉินเฟิงเข้า…
ทว่าแม้หลิวอี้จะเป็นเพียงแมลงวัน แต่ก็เป็นแมลงวันของเป่ยตี๋
จิ่งฉือจึงไม่อาจออกหน้าแทนฉินเฟิง ได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจเบา ๆ และเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ด้วยสายตาเย็นชา
นางไม่รู้ตัวเลย หลิวอี้เฝ้าสังเกตจิ่งฉือมานานแล้ว นับตั้งแต่กลับมาจากเมืองอวี่ จิ่งฉือมักขลุกอยู่กับฉินเฟิง ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่ ทำให้หลิวอี้โกรธแค้นนัก
แล้ววันนี้ก็บังเอิญได้เจอฉินเฟิงกับจิ่งฉือเข้าพอดี เขาย่อมฉวยโอกาสพิสูจน์ให้จิ่งฉือเห็นว่า ฉินเฟิงไม่ได้มีอะไรดีเลย

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ