บทที่ 852 การเจรจาความร่วมมือครั้งใหญ่
เหล่าพ่อค้าไม่ใช่คนโง่เขลา ตามการแบ่งผลประโยชน์ของฉินเฟิง สักวันหนึ่งเงินทองของชาวเป่ยตี๋ย่อมถูกขนออกไปจนหมด
ไหนเลยจะเรียกสิ่งนี้ว่าความร่วมมือที่ทั้งสองฝ่ายได้ผลประโยชน์? ชัดเจนว่าเป็นการค่อย ๆ กลืนกินต่างหาก!
เผชิญกับคำถามของชายหนวดดก ฉินเฟิงไม่โกรธ กลับยิ้มน้อย ๆ แล้วถามว่า “ข้าควรเรียกท่านว่าอย่างไร?”
ชายหนวดดกสูดหายใจลึก ตอบเสียงทุ้มว่า “ข้า หม่าลู่ผิง”
หม่าลู่ผิง? ชื่อนี้ฉินเฟิงเคยได้ยินมาบ้าง
ตอนองครักษ์เสื้อแพรแทรกซึมสอดแนมในเมืองหลวงเป่ยตี๋แรก ๆ พวกเขาได้บันทึกรายชื่อพ่อค้าทั้งหมดที่มีทรัพย์สินมูลค่าเกินหมื่นตำลึงเงินไว้ ซึ่งก็มีชื่อของหม่าลู่ผิงรวมอยู่ด้วย
เขาเป็นพ่อค้าใหญ่ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงเป่ยตี๋ เชี่ยวชาญการค้าขายสัตว์เลี้ยง
นอกจากม้ากับแกะ ก็ยังค้าวัวด้วย เป่ยตี๋ไม่เหมือนกับแคว้นเหลียงที่ให้ความสำคัญกับวัวไถนา วัวในเป่ยตี๋ส่วนใหญ่เป็นวัวเนื้อ แตกต่างจากพันธุ์อื่นอย่างมาก
ฉินเฟิงมีความประทับใจที่ดีต่อหม่าลู่ผิง
มีคำกล่าวว่า คนที่มีน้ำใจมักเป็นพวกคนฆ่าสุนัข ส่วนคนที่ไร้น้ำใจมักเป็นพวกนักอ่าน ชายค้าสัตว์ผู้นี้สามารถยืนขึ้นคัดค้านเขาเพื่อผลประโยชน์ของแคว้นได้ น่านับถือกว่าคนอื่น ๆ มากนัก
“พ่อค้าหวัง วัวและแกะของเจ้า ขายไกลที่สุดถึงที่ใด?” ฉินเฟิงถามอย่างสบาย ๆ
ความภาคถูมิใจฉายชัดบนใบหน้าหม่าลู่ผิง เขากล่าวอย่างองอาจว่า “ทางใต้ถึงเมืองจัวโจว ทางเหนือถึงเมืองฉีอั๋งโจว!”
ระหว่างเมืองจัวโจวกับเมืองฉีอั๋งโจว ยังมีอีกสองมณฑลคั่นกลาง บวกกับเมืองหลวง ด้วยกำลังการผลิตยุคนี้ หม่าลู่ผิงสามารถขยายธุรกิจไปถึงห้ามณฑลได้นับว่ายอดเยี่ยมมาก
น่าเสียดายที่การค้าขายสัตว์ในเป่ยตี๋ถือเป็นอุตสาหกรรมทั่วไป มีผู้ประกอบการมากมาย กำไรจึงน้อย หม่าลู่ผิงในวงการธุรกิจของเมืองหลวงนับเป็นเพียงพ่อค้าใหญ่ แต่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นพ่อค้าระดับสูงได้เลย ฉินเฟิงเห็นหม่าลู่ผิงยืดอกผยองด้วยท่าทางภาคภูมิใจก็สาดน้ำเย็นใส่เขาอย่างไม่ไว้หน้า
“หมายความว่า ธุรกิจของเจ้ายังไม่ได้ก้าวออกนอกแคว้นเลยไม่ใช่หรือ?”
ได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าใหญ่ของหม่าลู่ผิงแดงก่ำ เขารีบแก้ตัวว่า “ความกล้าหาญของโหวฉินจะเอามาเปรียบกับคนธรรมดาสามัญได้อย่างไร? ธุรกิจของข้าเติบโตถึงขนาดนี้ ทั่วหล้าจะมีกี่คนที่สามารถเทียบชั้นกับข้าได้?”
“ส่วนเรื่องการก้าวออกนอกแคว้น หากไม่ได้รับการสนับสนุนและคุ้มครองจากราชสำนัก จะเป็นเรื่องง่ายหรือ?”
ฉินเฟิงโบกมือ เป็นสัญญาณให้หม่าลู่ผิงอย่าตื่นเต้นเกินไป แล้วกล่าวยิ้ม ๆ “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าอีกข้อ เมื่อเจ้าขนสัตว์ไปถึงเมืองจัวโจว เจ้าเหลือกำไรเท่าไร?”
หม่าลู่ผิงอ้ำอึ้ง ครู่ใหญ่จึงพูดออกมาว่า “ครึ่งส่วนของกำไรปกติ”
ฉินเฟิงกางมือออก พูดอย่างเป็นเหตุเป็นผลว่า “ดังนั้น ขอบเขตความสามารถของเจ้าอย่างมากก็ขยายได้แค่ถึงเมืองจัวโจว หากขยายออกไปอีกก็จะขาดทุนแล้ว”
“ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่ว่า ทำไมข้าถึงต้องเอากำไรเจ็ดส่วน?”
“สินค้าพวกนี้ขนส่งมาไกลแสนไกลกว่าจะถึงแคว้นของพวกเจ้า มูลค่าของตัวสินค้าแทบไม่ต้องคำนึงถึง ส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายหลักจริง ๆ อยู่ที่ค่าขนส่ง”
“โดยปกติแล้ว การขนส่งเสบียงทหาร ข้ามระยะทางหนึ่งพันลี้ ทุก ๆ ทุกครั้งที่ขนส่งได้หนึ่งชั่ง คนขนส่งก็กินไปห้าชั่ง เช่นเดียวกัน การข้ามระยะทางสองถึงสามพันลี้ เพื่อขนส่งสินค้ามาที่นี่ แค่ค่าอาหารและที่พักระหว่างทางก็น่าขนลุกแล้ว”
“นอกจากนี้ ยังต้องจ่ายค่าแรง แบกรับความเสี่ยงจากการถูกโจรปล้น รวมถึงการสูญเสียระหว่างทาง”
“เมื่อคำนวณทั้งหมด เพียงแค่กำไรเจ็ดส่วน พวกเจ้ายังรู้สึกว่ามากเกินไปหรือ?”
เหล่าพวกพ่อค้าที่นั่งกันอยู่ไม่มีผู้ใดเคยทำการค้าข้ามแคว้น พวกเขาเลนไม่เข้าใจความเสี่ยงและการสูญเสียของการค้าระหว่างทาง แต่ฉินเฟิง อาศัยการค้าระหว่างค่ายเทียนจีกับแคว้นเกาชาน สั่งสมประสบการณ์มามาก
หม่าลู่ผิงลูบคางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่ามีเหตุผล เขาจึงไม่โต้เถียงอีก ประสานมือคำนับแล้วนั่งลง



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ