บทที่ 854 ชุมนุมชิมสุรา
ถึงจะมีตำแหน่งและสถานะสูงส่ง ฉินเฟิงก็ไม่กล้าประมาทพลังของกองกำลังท้องถิ่น อย่างมณฑลซางโจว ถึงจะเป็นดินแดนกว้างใหญ่ มีประชากรเพียงไม่กี่แสนคน แต่หากประชาชนร่วมมือกันต่อต้าน ต่อให้ฉินเฟิงร่ำรวยมหาศาลเพียงใด สุดท้ายเขาก็ต้องพ่ายแพ้เข้าสักวัน
อย่างไรเสียความสามารถของคนเพียงคนเดียวก็มีขีดจำกัด
จิ่งฉือซาบซึ้งอย่างยิ่ง นางเข้าใจดีว่าฉินเฟิงไม่ได้กล่าวเกินจริง
เมื่อคืนตอนพบฉินเฟิงเขายังกังวลเรื่องฟืนไฟของชาวซางโจวว่าจะมีเพียงพอสำหรับก้าวผ่านฤดูหนาวไปได้หรือไม่
หากมองไปทั่วราชสำนักเป่ยตี๋ ก็คงไม่มีผู้ใดกังวลและคำนึงถึงปัญหาการผ่านฤดูหนาวของชาวบ้านมณฑลซางโจว แม้แต่แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่างเฉินซือ
จิ่งฉือผู้เคยเชื่อมั่นอย่างสนิทกับข่าวลือที่ราชสำนักปล่อยออกมาว่า สภาพของชาวซางโจวน่าสลดใจนัก ตอนนี้ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของนาง
สำหรับแคว้นเป่ยตี๋
ระหว่างศัตรูตัวฉกาจอย่างฉินเฟิง กับบรรดาขุนนางที่แสดงออกถึงความเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ ทำทุกอย่างเพื่อแคว้น แต่กลับแอบคิดคำนวณผลประโยชน์ส่วนตัวลับหลัง สิ่งใดกันแน่ที่จะเป็นประโยชน์และโทษ?
จิ่งฉือคิดไม่ออก และนางก็ไม่อยากเสียเวลาไปเปล่า ๆ แล้ว ครั้นสายตามองไปยังฉินเฟิงอีกรอบ แววตาของนางก็เปล่งประกาย
แทนที่จะเสียเวลาไปกับปัญหาทางการเมือง สู้พับแขนเสื้อ ทุ่มเทอย่างจริงใจ ดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนจะดีกว่า
นางผุดลุกขึ้นยืนอย่างเด็ดขาด แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่เคยมีมาก่อน
“โหวฉิน ข้ายินดีที่จะเชื่อใจเจ้า!”
“นับจากนี้ไป ข้าจะเป็นหนึ่งในพันธมิตรของเจ้าในแคว้นเป่ยตี๋”
พอเห็นจิ่งฉือแสดงท่าที ฉินเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยในแคว้นนี้บ้านเมืองนี้ก็ไม่ได้มีแต่คนบ้าที่หมกมุ่นแต่เรื่องสงคราม ยังพอมีคนที่มีเหตุผลอยู่บ้าง
ฉินเฟิงลุกขึ้นยืน ยกถ้วยสุราอุ่นขึ้น แล้วกล่าวอย่างจริงจัง “องค์หญิงช่างเฉลียวฉลาด สายตากว้างไกล!”
“นับแต่นี้พวกเราจะร่วมมือกันสร้างผลประโยชน์ให้แก่ประชาชนแคว้นต้าเหลียงและประชาชนแคว้นใหญ่ต้าตี๋”
เป็นครั้งแรกนับแต่ฉินเฟิงมายังเป่ยตี๋ที่เขาเรียกเป่ยตี๋ว่า…ต้าตี๋
แคว้นต้าตี๋ใหญ่โตและทรงอำนาจ สมควรได้รับการเรียกขานว่าแคว้นใหญ่ แม้ว่าคำว่าเป่ยตี๋ที่ต้าเหลียงเรียกขานจะมาพร้อมกับคำว่าคนเถื่อน เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากแคว้นอื่น ๆ เลย
คำว่าแคว้นต้าตี๋ทำให้จิ่งฉือซาบซึ้งใจ
ดวงตานางแดงก่ำ จมูกแสบร้อนขึ้นมา หลังผ่านไปเนินนาน นางราวกับได้เห็นแสงแห่งรุ่งอรุณอันอบอุ่นสาดส่องลงบนผืนแผ่นดินมืดมนของต้าตี๋เสียที “ฉินเฟิง เรื่องการเมืองข้าไม่กล้ารับปาก แต่การร่วมมือทางการค้าระหว่างเจ้ากับข้าจะเป็นไปอย่างบริสุทธิ์”
แต่ไหนแต่ไรจิ่งฉือแทบไม่ดื่มสุรา ทว่าวันนี้นางกลับแสดงความห้าวหาญที่เห็นได้ยาก ยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
เมื่อแม้แต่องค์หญิงยังแสดงท่าทีเช่นนี้ เหล่าพ่อค้าต่างมองหน้ากันไปมา ก่อนจะพากันลุกขึ้นยืน ยกจอกสุรา แสดงจุดยืนของตน
“เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนนับล้านของสองแคว้น”
“พวกข้าแม้เป็นเพียงสามัญชนแต่ก็ไม่กล้าลืมห่วงใยบ้านเมือง จะขอใช้การค้าเพื่อช่วยแผ่นดิน!”
เมื่อจอกแรกถูกดื่ม บรรยากาศก็เริ่มคึกคักขึ้นเรื่อย ๆ
ฉินเฟิงปิดบังอีกต่อไป ตะโกนเสียงดังว่า “เอกออกมา”
หนิงหู่ที่รออยู่นานแล้ว อุ้มไหสุรากลั่นเดินเข้ามา เขาเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาภาคภูมิใจเพียงใด เพราะแค่การได้เป็นมือขวาขาซ้ายของฉินเฟิงก็เพียงพอที่จะทำให้เขาสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลแล้ว
“โหวฉิน นั่นอะไรหรือ?”
หวังฟู่กุ้ยจ้องมองไหด้วยความสงสัย
ฉินเฟิงรับไหสุรามาก็เปิดจุกออก ใบหน้าแดงระเรื่อ “นี่คือสินค้าชิ้นแรกที่ข้าจะมอบให้แก่แคว้นอันทรงเกียรติของพวกเจ้า!”
“ฤดูหนาวของแคว้นต้าตี๋ยากจะทานทน สุราแรงจะช่วยต้านทานความหนาวได้”
แรกเริ่มทุกคนไม่เข้าใจความหมาย แต่พอเวลาผ่านไป กลิ่นหอมของสุราค่อย ๆ แผ่กระจาย หวังฟู่กุ้ยที่อยู่ใกล้ที่สุด ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ