บทที่ 855 ขอองค์หญิงอายุยืนหมื่นปี
การชุมนุมชิมสุราคราวนี้สำคัญอย่างยิ่ง แม้แต่กับฮ่องเต้เป่ยตี๋ ด้วยการชิมสุราคราวนี้ทำให้เข่รู้ถึงสิ่งที่ฉินเฟิงสนใจแล้ว ซึ่งมีเพียงสองเรื่อง
เรื่องแรก คือ การค้า
เรื่องที่สอง คือ การส่งจิ่งเชียนอิ่งกลับสู่ราชวงศ์
แน่นอนว่าเรื่องแรกเป็นประโยชน์ต่อแคว้นเป่ยตี๋และประชาชน แต่เรื่องหลังสำหรับฮ่องเต้เป่ยตี๋ไม่ต่างจากเป็นภัยพิบัติร้ายแรงที่คุกคาม
ฮ่องเต้เป่ยตี๋เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดของฉินเฟิงเรื่องอำนาจที่มาจากประชาชน จากด้านล่างสู่ด้านบน แต่ความคิดที่จะกำจัดฉินเฟิงกลับยิ่งแน่วแน่
เขาไม่อาจยกแผ่นดินเป่ยตี๋ให้ผู้อื่นได้เด็ดขาด!
หลี่อวี้ที่อยู่ข้าง ๆ ถามเสียงเบา “ฝ่าบาท องค์หญิงบรรลุข้อตกลงกับฉินเฟิงแล้ว ข้าควรไปเตือนนางดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้เป่ยตี๋โบกมือ “ไม่จำเป็น ธุรกิจก็คือธุรกิจ การเมืองก็คือการเมือง”
“องค์หญิงจิ่งฉือจงรักภักดีต่อแคว้น ไม่ว่าจะต่อข้าหรือประชาชนนับหมื่นแสน ล้วนแต่เป็นประโยชน์เต็มร้อย ไม่มีโทษแม้แต่นิดเดียว”
“แม้ข้าจะให้ความสำคัญกับอำนาจ แต่ก็ไม่ได้โง่เขลาถึงขนาดจะเบียดเบียนทั่วหล้าเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว”
“เรื่องทางการค้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็พอ ส่วนการจัดการกับเมืองซางโจวก็ค่อย ๆ ดำเนินการไปตามลำดับขั้นตอน”
หลี่อวี้พยักหน้า แสดงท่าทีนอบน้อมเชื่อฟังคำสั่ง แต่ภายในใจโล่งอก
ท้ายที่สุดผู้มีตาต่างต้องเห็นว่า ตอนนี้แคว้นต้าตี๋ต้องการการค้าขายคราวนี้
หลังจากฉินเฟิงข่มขู่จะตัดความสัมพันธ์ พร้อมทำสงคราม เรื่องผลประโยชน์ และการค้าก็ค่อย ๆ เข้าที่เข้าทาง
ขณะเดียวกัน ทางฝั่งซางโจวภายใต้การปกครองของหลี่จางและคนอื่น ๆ ก็เฟื่องฟูรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ซางโจวจะยังเป็นดินแดนของเป่ยตี๋ แม้แต่ขุนนางท้องถิ่นก็ยังรับเงินเดือนจากแคว้นเป่ยตี๋ แต่บรรยากาศโดยรวมกลับมองฉินเฟิงเป็นผู้นำ
เงินทุนก่อการกบฏที่จัดสรรให้แก่หลู่ฉือกับหลี่โฉวเพิ่งถูกส่งออกไป หลี่จางกับจิ่งเชียนอิ่งก็นำขบวน เดินทางไปตามที่ต่าง ๆ แจกจ่ายเสบียงอาหารสำหรับฤดูหนาวให้แต่ละหมู่บ้าน
พอเดินทางมาถึงหมู่บ้านหินดำ ขบวนรถอันยิ่งใหญ่ก็หยุดลง
ผู้ใหญ่บ้านวัยห้าสิบปียืนพิงไม้เท้า ร่ายกายสั่นเทาอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน
พอเห็นขบวนคนและม้าใหญ่โตเคลื่อนเข้ามาใกล้ เขากลืนน้ำลายไม่หยุด น่องขาสั่นจนแทบล้ม
ขบวนคนและม้าหยุดลงไม่ไกล มีเพียงม้าไม่กี่ตัวเดินเข้ามา ผู้ใหญ่บ้านคุกเข่าลงกับพื้น ก้มศีรษะคำนับสามครั้งก่อน แล้วถามชายผู้นำอยู่ด้านหน้าอย่างระมัดระวัง “ข้าน้อยขออนุญาตถาม ท่านแม่ทัพท่านใดขอยืมเส้นทางผ่าน?”
“หากเป็นการเคลื่อนทัพก็เชิญเดินทางผ่านไปได้ หมู่บ้านนี้มีเพียงไม่กี่สิบครัวเรือน ล้วนเป็นราษฎรผู้สุจริตขยันขันแข็ง ไม่กล้าซ่อนสายลับของศัตรูอย่างแน่นอน ขอท่านแม่ทัพโปรดเมตตา อย่าได้เข้าหมู่บ้านมาค้นเลยขอรับ”
สำหรับชาวบ้านธรรมดา การเข้าหมู่บ้านไปค้นหาก็เหมือนกับการรื้อบ้าน
ฤดูหนาวปีนี้ เดิมชีวิตความเป็นอยู่ก็ยากลำบาก หากถูกรบกวน รื้อบ้าน ทั้งหมู่บ้านคงหนีไม่พ้นความตาย
ชายชุดขนสัตว์สีขาวที่อยู่หน้าสุดก็คือซื่อจื่อหลี่จาง เขานั่งอยู่บนหลังม้า มือข้างหนึ่งกำสายบังเหียน ปากกล่าวเสียงนุ่มเบา “ลุกขึ้นเถิด ในเมื่อเจ้าเป็นราษฎรผู้สุจริต ไยต้องตื่นตระหนกเล่า?”
ผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านขลาดกลัวอยู่บ้าง จึงยังคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่ยอมลุก
รองแม่ทัพร่างกำยำล่ำสันราวหมีที่อยู่ด้านข้างพลันตวาดเสียงกร้าว “ซื่อจื่อสั่งให้เจ้าลุกขึ้น เหตุใดยังขัดคำสั่ง!”
เสียงคำรามด้วยความโกรธเกือบจะทำให้วิญญาณของหัวหน้าหมู่บ้านหลุดออกไปแล้ว



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ