บทที่ 869 จงใจทำลายชื่อเสียงของข้าหรือ?
ในฐานะทูตต่างแคว้น การเคลื่อนไหวในแคว้นเป่ยตี๋ แม้แต่ฉินเฟิงก็ยังต้องระมัดระวัง เขาจึงทำทุกอย่างผ่านทางองค์หญิงจิ่งฉือ
และทุกกิจกรรมต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อตกลงสันติภาพ การกระทำใด ๆ ที่เกินขอบเขตของข้อตกลงจะไม่ได้รับอนุญาต
ด้วยเหตุนี้ นอกจากการลงนามในข้อตกลงทางการค้าและร่วมมือทางการค้ากับองค์หญิงจิ่งฉือ ฉินเฟิงก็ไม่มีความสำเร็จอื่นใดในเมืองหลวง การผลักดันให้จิ่งเชียนอิ่งกลับคืนสู่ราชวงศ์จิ่งแห่งเป่ยตี๋เลยไม่มีความคืบหน้า
สาเหตุสำคัญคือ ฉินเฟิงไม่สามารถแทรกแซงได้
ภัยหนาวในอำเถอฉางสุ่ยเลยนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ การแสดงออกถึงความลำบากใจต่าง ๆ ของฉินเฟิงต่อหน้าเหล่าอู๋ล้วนเป็นการแกล้งทำ ความจริงทันทีที่ได้ยินคำขอของเหล่าอู๋ เขาก็อยากจะงอกปีกบินตรงไปยังฉางสุ่ยแล้ว เสียดาย ด้วยตำแหน่งและสถานะของเขา ไม่ว่าจะทำการสิ่งใดล้วนต้องค่อยเป็นค่อยไปอย่างระมัดระวัง
การกระทำรีบร้อนอาจทำให้ศัตรูฉวยโอกาสจับผิดและนำไปสู่หายนะที่ไม่อาจแก้ไขได้
“เชียนอิ่ง พวกเราจะได้พบกันในไม่ช้าแล้ว!”
เขากำหมัดแน่น สูดหายใจลึก ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
สามวันต่อมา อู๋ต้ากุ้ย คหบดีท้องถิ่นอำเภอฉางสุ่ย ส่งคนไปแจ้งข่าวทุกหมู่บ้านเกี่ยวกับเรื่องไปขายแรงงานที่เมืองหลวง
แม้เรื่องนี้จะมีเหล่าอู๋เป็นคนประสานงาน ทั้งนายอำเภอฉางสุ่ยและราชสำนักที่เมืองหลวงต่างก็ตกลงเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจให้เจ้าหน้าที่ทางการเข้ามายุ่งเกี่ยว จึงมอบหมายให้อู๋ต้ากุ้ยที่เป็นคหบดีท้องถิ่นรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมด
เพียงไม่กี่วัน ชายฉกรรจ์หญิงสาวจากทุกหมู่บ้านในอำเภอฉางสุ่ยก็มารวมตัวกันที่ตัวอำเภอ เตรียมพร้อมจะเดินทางไปเมืองหลวงพร้อมกัน
อู๋ฉี พ่อบ้านของตระกูลอู๋สั่งให้บ่าวรับใช้นับจำนวนคน ขณะเดียวกันก็ให้บ่าวรับใช้ บ่าวเฝ้าประตู และทหารมือปราบช่วยกันรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณ
“พ่อบ้านอู๋ มีคนมาจากทุกหมู่บ้านรวมทั้งหมดแปดร้อยเก้าสิบห้าคนขอรับ” คนรับใช้ที่นับจำนวนคนเสร็จรายงาน
อู๋ฉีสีหน้าไม่สู้ดี
“เหตุใดมีคนมาเท่านี้? อำเภอฉางสุ่ยแม้จะไม่ใช่เมืองที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ควรจะน่าสงสารขนาดนี้ หากไปถึงเมืองหลวง ราชสำนักคงได้คิดว่าเมืองฉางสุ่ยมีประชากรเบาบาง ถ้ามีการตำหนิลงมา ผู้ใดจะรับผิดชอบได้?”
“ไปรวบรวมมาอีกรอบ ทุกคนที่มีอายุระหว่างสิบห้าถึงสี่สิบปี ไม่ว่าชายหรือหญิง เรียกมาทั้งหมด”
เหตุที่อู๋ฉีกระตือรือร้นเช่นนี้เพราะเรื่องนี้มีผลประโยชน์มหาศาลที่สามารถฉกฉวยได้
ชาวบ้านทำสัญญาแรงงานกับฉินเฟิง ได้รับค่าจ้างเดือนละสามร้อยอีแปะหรือแลกเป็นข้าวสองต้าน แต่ด้วยบผลกระทบจากสงครามระหว่างแคว้น แม้จะมีเงินก็ยากจะซื้อข้าวได้ ราคาข้าวพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เงินกลับกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์
สามร้อยอีแปะหรือข้าวสองต้าน สำหรับปีที่อุดมสมบูรณ์ ราคาเช่นนี้ย่อมต้องถูกคนชี้นิ้วด่า แต่ยามอากาศหนาวเหน็บ ทรัพยากรขาดแคลน ราคานี้นับว่าดีมากนัก…
ตระกูลอู๋และกรรมกรแข็งแรงเหล่านี้ได้ทำข้อตกลงปากเปล่า
พวกเขาเริ่มจากการนับจำนวนคนและจัดทำรายชื่อ หลังไปทำงาน แต่ละคนต้องจ่ายเงินหนึ่งร้อยห้าสิบอีแปะหรือข้าวหนึ่งสือให้กับตระกูลอู๋ เพื่อตอบแทนการจัดการอันยากลำบาก
พูดตามตรงข้อตกลงปากเปล่านี้นับเป็นสัญญาลับ
ถึงเวลาค่าตอบแทนที่ฉินเฟิงจ่ายครึ่งหนึ่งจะต้องไหลเข้าสู่ตระกูลอู๋ แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้แล้ว ภายในใจของหัวหน้าพ่อบ้านอู๋คิดดูถูก…
สมองฉินเฟิงคงถูกลาเตะเข้าแล้วกระมัง? ช่างมีเงินให้ผลาญเยอะจริง ๆ!
อย่าว่าแต่เขาเป็นขุนนางต่างถิ่น แม้แต่ขุนนางท้องถิ่นหากต้องการทำการใดก็ต้องให้ผลประโยชน์กันเป็นชั้น ๆ อย่างเต็มที่
ตอนนี้เขาจะโกงฉินเฟิงบ้าง แล้วฉินเฟิงจะทำอะไรได้เล่า?
ฮ่องเต้อยู่ไกล นับประสาอะไรกับคนต่างแดน
การกินผลประโยชนืของฉินเฟิงไม่เห็นต้องคิดมาก
ทั้งบ้านของตระกูลอู๋ได้รับเงินมากมายจนเต็มกระเป๋า พวกเจ้าหน้าที่ต่างมองด้วยความอิจฉา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
อู๋ฉีกอดอก ยิ้มเยาะใส่หัวหน้าหน่วยมือปราบ “หัวหน้าโจว ไยคราวนี้ท่านเปลี่ยนนิสัยเสียเล่า? แต่ก่อนท่านชอบกินนัก แต่ครั้งนี้ข้าให้เงินท่าน ท่านกลับไม่เอา พระอาทิตย์คงได้ขึ้นทางทิศตะวันตกเสียกระมัง”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ