บทที่ 872 ปลอมตัวออกเยี่ยม
หัวหน้าโจวแสดงความกระตือรือร้นอย่างเต็มที่ ทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบสองแม่ลูกอย่างใส่ใจ ชั่วชีวิตของเขายังไม่เคยปฏิบัติต่อบิดาแท้ ๆ ดีขนาดนี้มาก่อนด้วยซ้ำ
หญิงวัยกลางคนราวกับกำลังฝันไป ก่อนหน้านี้นางไม่เคยรู้จักชื่อฉินเฟิงมาก่อนเลย
กระทั่งถูกจับตัวมายังตัวอำเภอจึงได้รู้จากปากของอู๋ฉีว่า แท้จริงแล้วในใต้หล้านี้มีคนชื่อฉินเฟิงอยู่
ท่านโหวอันดับหนึ่งแห่งแคว้นต้าเหลียง ผู้ปกครองชายแดนเหนือต้าเหลียง แม่ทัพผู้พิชิตกองทัพอันเกรียงไกรของชาวเป่ยตี๋ ผู้ถูกล้อมอยู่ที่เทือกเขาชิงอวี้แต่หนีรอดออกมาได้…
วีรกรรมมากมายของฉินเฟิง สำหรับนางแล้วช่างเหมือนกับการฟังตำราสวรรค์เหลือเกิน
ชีวิตครึ่งหนึ่งของนางดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ด้วยความรู้ความเข้าใจอันจำกัด นางไม่อาจเข้าใจได้ว่าเกียรติยศเหล่านี้มีความหมายอย่างไร
แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางเข้าใจ ชายผู้มีนามว่าฉินเฟิง แม้แต่ฮ่องเต้เป่ยตี๋ก็ยังต้องเกรงกลัวสามส่วน เขาคือ…ผู้สูงศักดิ์
สำหรับชาวบ้าน ฮ่องเต้คือสวรรค์ ส่วนฉินเฟิงคือภูเขาที่สูงเสียดฟ้า
ผู้สูงศักดิ์เช่นนี้กลับสนใจความเป็นความตายของไพร่ต่ำต้อย พลิกความเชื่อของนางอย่างสิ้นเชิง
ชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็ไม่ต่างกัน พวกเขามองฉินเฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง แล้วเสียงกระซิบกระซาบก็ค่อย ๆ อื้ออึง
“ข้าเห็นไม่ผิดใช่หรือไม่? ฉินเฟิงถึงกับให้แม่ลูกคู่นั้นไปหลบลมในศาลาว่าการอำเภอ?”
“อู๋ฉีพูดผิดหรือไม่? ฉินเฟิงไหนเลยจะโหดร้ายอย่างที่เขาว่า?”
“นั่นสิ แม้เขาจะเป็นทูตต่างแคว้น แต่กลับดูแลประชาชนเป่ยตี๋เราอย่างทุ่มเทเสียยิ่งกว่าขุนนางของพวกเราเอง…”
“ฮึ! ข่าวลือเชื่อถือไม่ได้จริง ๆ”
ฉินเฟิงไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ กวาดตามองผู้คนที่รวมตัวกันอยู่นอกศาลาว่าการอำเภอ พบว่ามีสตรีอยู่ไม่น้อยเลย
คหบดีท้องถิ่นทั่วหล้าล้วนมีนิสัยเดียวกัน คือ ยามขูดรีดประชาชน พวกเขาไม่แม้แต่จะกะพริบตา
ฉินเฟิงเรียกหลิ่วหมิงมาข้างกาย แล้วกระซิบบอกเขาสองสามประโยค
ภายใต้สายตาและหัวใจที่ตึงเครียดสงสัยของผู้คน หลิ่วหมิงนำม้านั่งมาตัวหนึ่ง ยกขาเหยีบ ขึ้นไปยืนบนนั้น แล้วถามเสียงดังว่า “สตรีที่อยู่ที่นี่ หากผู้ใดไม่ได้สมัครใจมาเองให้ออกมา แล้วไปเข้าแถวใหม่ทางทิศตะวันตก”
“ผู้ที่สมัครใจมาทำงานหนัก แต่มีคนชราหรือเด็กที่ต้องดูแลเลี้ยงดูอยู่ที่บ้าน ก็ออกมาได้เช่นกัน”
ตอนแรกผู้คนทั้งหลายค่อนข้างประหม่า จึงไม่กล้าโผล่หน้าออกมา
แต่เมื่อได้เห็นแม่ลูกที่นั่งขดตัวอยู่ในศาลาว่าการ แล้วหันมองฉินเฟิงที่มีรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าอยู่ตลอดเวลา ความประหม่าในใจก็ลดน้อยลง
เมื่อสตรีคนแรกก้าวออกมาจากฝูงชน สตรีที่เหลือก็ไม่กดดัน ชั่วพริบตา สตรีกว่าห้าสิบคนออกมาจากกลุ่ม
ภายในบรรดาสตรี คนที่อายุน้อยที่สุดก็ราวสิบหกสิบเจ็ดปี ส่วนอายุมากที่สุดก็ราวสี่สิบกว่าปี
สตรีที่เคยให้กำเนิดบุตรและยังสามารถทำงานหนักได้ล้วนถือว่าเป็นผู้แข็งแรงเมื่อเทียบกับบรรดาสตรีคนอื่น ๆ
ตอนนี้กลายเป็นพวกบุรุษที่ตระหนก ด้วยเหตุที่ว่าสตรีเหล่านี้ล้วนเป็นญาติของพวกเขา หากเกิดความผิดพลาดคงไม่ห่างไกลจากการสูญเสียครอบครัวและชีวิตเท่าใดนัก
ภายใต้คำสั่งของฉินเฟิง หลิ่วหมิงเรียกสตรีกว่าห้าสิบคนมายืนเรียงแถวตรงหน้าเขา
เขาลงจากเก้าอี้ นำเก้าอี้ไปวางไว้ด้านหลังฉินเฟิง และนำกระถางถ่านออกมาจากศาลาว่าการเพื่อให้ฉินเฟิงได้ผิงไฟ
ความจริงแล้ว ด้วยสภาพร่างกายของฉินเฟิง ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เขาไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ความหนาวเย็นเพียงเท่านี้ก็ยังพอทนได้



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ