บทที่ 937 เกณฑ์ทหารในต่างแดน
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว รอบลานฝึกค่ายทหารปักคบเพลิง แม้จะไม่ใช่สิ่งที่ฉินเฟิงปรารถนา แต่บรรยากาศกดดันและหนักอึ้งยิ่ง
เนื่องจากเวลาเร่งรีบ ทหารเป๋ยซีย่อมไม่อาจเคาะประตูบ้านทีละหลังเพื่อโน้มน้าวได้ ชาวบ้านที่ถูกไล่ต้อนมายังลานฝึกแทบจะทั้งหมดตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
พวกเขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นเหล่าทหารรอบข้างแผ่จิตสังหาร แลฉินเฟิงที่ยืนอยู่บนแท่นสูงในลานฝึกไม่พูดอะไรสักคำ แม้พวกเขาจะโง่เขลาแค่ไหน ในใจก็ยังรู้สึกได้ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่
บ้านเมืองเจริญ ประชาชนก็ลำบาก บ้านเมืองล่มสลาย ประชาชนก็ลำบาก
ชาวบ้านเตรียมใจรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว
ฉินเฟิงไม่ได้เอ่ยวาจาใด เพราะเขากำลังตรวจสอบจำนวนคนในลานฝึก ตามข้อมูลที่องครักษ์เสื้อแพรให้มา ทั้งอำเภอฉางสุ่ยมีประชาชนที่ลงทะเบียนไว้ทั้งหมดแปดร้อยครัวเรือน หากคิดว่าแต่ละครัวเรือนมีลูกหลานสามรุ่น รวมหกคน ก็จะมีประชากรทั้งหมดสี่พันแปดร้อยคน นับเฉพาะชายฉกรรจ์ ประมาณการคร่าว ๆ ก็ควรอยู่ราวหกร้อยถึงเจ็ดร้อยคน
แต่ประชาชนที่มารวมตัวกันในลานฝึกมีเพียงไม่ถึงห้าร้อยคน ทั้งในห้าร้อยคนยังมีคนชราและเด็กปะปนอยู่ไม่น้อย ชายฉกรรจ์มีเพียงสามร้อยคนเท่านั้น
ตัวเลขแตกต่างจากที่ฉินเฟิงคาดการณ์ไว้มาก
อย่างไรอำเภอฉางสุ่ยก็เป็นอำเภอรอบเมืองหลวง หักลบสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะและเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ออกไป กลับระดมคนได้เพียงสามร้อยคน
ประชาชนในเมือคงมองการระดมพลของฉินเฟิงเป็นการจับตัวชายฉกรรจ์ ชายฉกรรจ์ส่วนใหญ่จึงหลบหนีเท่าที่จะทำได้ หากหลบไม่พ้นก็ให้พ่อหรือลูกชายตัวน้อยมาแทนเสียเลย ถึงเวลา พอใต้เท้าเห็นคนชรา คนอ่อนแอ เจ็บป่วยและพิการ ไม่สามารถทำงานหนักก็คงปล่อยกลับเอง
สำหรับประชาชน ความฉลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ สามารถช่วยชีวิตพวกเขา ต้องรู้ไว้ว่า ชายฉกรรจ์ส่วนใหญ่เมื่อถูกส่งไปยังสนามรบ แทบจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตกลับบ้านเลย
เมื่อคิดเช่นนี้ การที่ยังมีชายฉกรรจ์สามร้อยคนมาปรากฏ กลับกลายเป็นเรื่องที่น่ายินดี
ฉินเฟิงปลอบใจตัวเองเช่นนี้ก็โล่งใจขึ้นมา แล้วกล่าวเข้าประเด็นสำคัญ “ผู้ที่อายุไม่ถึงสิบห้าปี และผู้ที่อายุเกินห้าสิบปี ทั้งหมดออกมายืนข้างหน้า”
ทันทีที่ฉินเฟิงออกคำสั่ง คนกว่าครึ่งในเดินออกมาพร้อมกัน ฉินเฟิงไม่ลังเล กล่าวว่า “พวกเจ้าทั้งหมดกลับบ้านไปเถิด”
ชาวบ้านที่แก่และอ่อนแอทั้งหลายซาบซึ้งใจ พวกเขาจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ส่วนชาวบ้านที่เหลือล้วนแข็งแรง อายุสิบห้าถึงห้าสิบปี
ฉินเฟิงสูดหายใจลึก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คงจะยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าฉินเฟิงไม่ชอบพูดอ้อมค้อมและยิ่งไม่อยากให้พวกเจ้าถูกหลอก หรือถูกใช้ประโยชน์โดยไม่รู้ตัว”
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลู่หลีคือใคร?”
ได้ยินชื่อ ‘หลู่หลี’ ชาวบ้านงุนงง แม้พวกเขาจะเป็นชาวบ้านในเขตเมืองหลวง อยู่ใกล้เมืองหลวง แต่ชาวบ้านธรรมดาที่ไหนจะกล้าวิพากษ์วิจารณ์คนในราชสำนัก? ไม่ต้องพูดถึงหลู่หลี แม้แต่ผู้ช่วยเสนาบดีพรมการคลังเป็นใคร พวกเขาก็ไม่รู้
พอเห็นทุกคนงุนงง ฉินเฟิงอธิบายว่า “หลู่หลีคือจู้กั๋วแห่งเป่ยตี๋ อะไรคือจู้กั๋ว? จู้กั๋วก็คือแม่ทัพใหญ่ ทหารทรงเกียรติชั้นสองอันดับหนึ่ง!”
“แม้จะเป็นใต้ผู้ยิ่งใหญ่เท้าเช่นนี้ แต่กลับทำเรื่องต่ำช้า ถึงกับดักฆ่าข้ากลางทาง นี่เป็นสิ่งที่ทนได้หรือ? ไม่มีอะไรที่ทนไม่ได้ยิ่งไปกว่านี้แล้ว!”
“และอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะมีกองทัพใหญ่มาล้อมอำเภอฉางสุ่ย ถึงตอนนั้น ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสงคราม”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ