บทที่ 950 การต่อสู้ทางจิตวิทยา
ตอนฉินเฟิงโจมตีเทือกเขาสยงอิงในมณฑลซางโจว เขาใช้เครื่องยิงหินในการโจมตี ผ่านมานานขนาดนี้ช่างฝีมือเป่ยตี๋ก็คงลอกเลียนแบบและสร้างเครื่องโจมตีเมืองของตัวเองขึ้นมาแล้ว หากฝ่ายตรงข้ามนำเครื่องโจมตีเมืองมาด้วย การรบครั้งแรกนี้ก็จะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทหารรอบข้างต่างส่ายหน้า “ท่านโหวฉิน ไม่พบว่าฝ่ายตรงข้ามมีเครื่องโจมตีเมืองขอรับ”
ฉินเฟิงไม่ได้ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย “ตอนนี้ไม่มี ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่มี รอให้การรบเริ่มขึ้น ฝ่ายตรงข้ามอาจฉวยโอกาสช่วงชุลมุนขนมา ให้องครักษ์ค่ายเทียนจีเตรียมพร้อมไว้ก่อน หากพบเครื่องโจมตีงเมืองของฝ่ายตรงข้าม ไม่ต้องรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ให้ทำลายเครื่องโจมตีเมืองเป็นอันดับแรก!”
“แต่ต้องระวังให้ดี ทหารที่โจมตีเครื่องโจมตีเมืองแต่ละครั้งต้องไม่เกินห้าคน ห้ามให้เครื่องโจมตีเมืองดึงความสนใจของพลธนูมากเกินไปเด็ดขาด”
ภายใต้คำสั่งต่อเนื่องของฉินเฟิงเหล่าทหารต่างเตรียมพร้อมอย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกัน องครักษ์ค่ายเทียนจีแบกเกราะหนักวิ่งขึ้นมา
“ท่านโหวฉิน สวมเกราะเถิด!”
ฉินเฟิงยังคงสวมแค่ชุดประจำวัน ตอนนี้เผชิญหน้ากับกองทัพศัตรูที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เขาไม่กล้าลังเล รีบสวมเกราะที่องครักษ์นำมาให้ เพื่อความปลอดภัย ฉินเฟิงสวม ‘เกราะคออ่างลายถูเขา’ ที่มีพลังป้องกันสูงสุด นอกจากดวงตาแล้ว ทั้งร่างล้วนมีเกราะปกป้อง
ภายในสนามรบที่ต้องใช้กำลังพลน้อยต่อสู้กับกำลังพลศัตรูที่มากกว่า การออกคำสั่งอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ฉินเฟิงจึงไม่สามารถลงจากกำแพงเมืองได้เลย
เขาสวมเกราะหนักทำให้เคลื่อนไหวลำบากจึงได้เรียกทหารส่งสารครึ่งหนึ่งมารวมตัวอยู่รอบตัว และออกคำสั่ง…ไม่ว่าเมื่อใด จะต้องมีทหารส่งสารอย่างน้อยห้าคนอยู่ข้างกายเขาเสมอพร้อมรับคำสั่งตลอดเวลา
ทหารส่งสารรับคำแล้วหลบอยู่ใต้กำแพงเมือง เนื่องจากพวกเขาต้องเคลื่อนไหวรวดเร็วคล่องตัวไม่สามารถสวมเกราะได้ ต้องซ่อนตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกลูกธนู เสียชีวิต
ฉินเฟิงเหลือองครักษ์ค่ายเทียนจีไว้ข้างกายเพียงสี่นาย ส่วนองครักษ์และทหารที่เหลือทั้งหมด ถูกส่งไปยังทิศทางต่างๆ รวมถึง หนิงหู่ด้วย!
ขณะนี้ กองทัพศัตรูอยู่ห่างจากกำแพงเมืองเพียงหนึ่งพันก้าว เสียงฝีเมท้าดังสนั่น กองหน้าทั้งหมดหยุดลง กองทหารม้าเริ่มเคลื่อนไหวไปทางปีกทั้งสองข้าง วิ่งวนรอบกำแพงเมือง การกระทำนี้เป็นการสังเกตการณ์อัตราส่วนของคนบนกำแพงเมือง
ขณะเดียวกัน เกือบทุกคนบนกำแพงเมือง ทั้งทหารและแม่ทัพเตรียมขึ้นสายธนู เตรียมพร้อมรับมืออย่างเคร่งเครียด
กองทหารม้าวิ่งวนอยู่หลายรอบ แล้วกลับไปยังกองกลางของฝ่ายศัตรู เพื่อรายงานสถานการณ์ทางทหารแก่แม่ทัพใหญ่
“ท่านแม่ทัพ กำแพงเมืองทั้งปีกตะวันออกและตะวันตกมีทหารคุมเข้ม มีกำลังพลมากด้านหน้า น้อยที่ด้านหลัง แนวป้องกันทางใต้แข็งแกร่งกว่าทางเหนืออย่างเห็นได้ชัด”
จิ่งเผิงผู้สวมเกราะหนักและนั่งอยู่บนหลังม้าศึกอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเย็นชา “นี่เรียกว่าอะไรกัน?”
“เจ้าฉินเฟิงช่างทำให้คนคาดเดาไม่ถูกอยู่เรื่อย!”
“อำเภอฉางสุ่ยไม่ได้ใหญ่โตควรจะวางกำลังทหารเท่า ๆ กันทั้งสี่ด้าน ส่วนทหารที่เหลือให้อยู่ในเมืองเพื่อเสริมกำลังแนวป้องกันได้ทุกเมื่อ แต่ดูเถิด ฉินเฟิงเอาทหารทั้งหมดวางไว้บนกำแพง ทั้งยังเน้นป้องกันมิศตะวันออกและตะวันตก ส่วนกำแพงทางใต้ที่เป็นสนามรบหลักกลับมีทหารประจำการแค่ปานกลาง ฮ่า ๆๆ เจ้าฉินเฟิงก็ไม่เห็นจะวิเศษวิโสอะไรอย่างที่เล่าลือกันสักนิด”
รองแม่ทัพที่อยู่ข้างๆเห็นจิ่งเผิงเริ่มคุยโวอีกก็กำลังจะห้ามปราม แต่จิ่งเผิงก็สั่งการออกมาเสียก่อน “ถึงแม้แม่ทัพใหญ่จะมีคำสั่งให้โจมตีอย่างหนัก แต่การบุกเข้าไปซึ่งหน้าเกรงว่าเราจะต้องเจ็บหนัก อย่างไรฉางสุ่ยก็เป็นอำเภอสำคัญในเขตเมืองหลวง”
“เราลองหนั่งเชิงตื้นลึกของฉินเฟิงก่อนเถิด ให้กองทหารม้าทั้งหมดเคลื่อนพลจากปีกซ้าย โจมตีแนวป้องกันทางเหนือ จงจำไว้ โจมตีแค่เป็นพิธี ไม่จำเป็นต้องทุ่มสุดตัว”
แม่ทัพผู้รับผิดชอบกองทหารม้าแปดร้อยนายรับคำสั่งแล้วรีบเคลื่อนไหว นำทัพกองทหารม้าเคลื่อนพล ย่ำเท้าหนักหน่วงไปตามปีกซ้าย
รองแม่ทัพจงเทาได้ยินคำสั่งของจิ่งเผิงก็กลืนคำพูดกลับลงคอ


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ